สร้างประสบการณ์ใหม่ให้ตัวเอง ด้วยการเที่ยวเพลินฟิน ๆ ไปกับ “รถบ้าน”

โดยปกติถ้าเราไปท่องเที่ยวกัน ก็จะอาศัยการใช้รถยนต์ส่วนตัว บริการรถทัวร์ หรือการเดินทางโดยเครื่องบิน แต่มันจะมีข้อแม้และเงื่อนไขของเรื่องจุกจิก เช่น การแบกสัมภาระที่มีความเยอะและหนัก การตรงต่อเวลาในการเดินทาง หรือการเข้าที่พักโรงแรม การเช็คของใช้ส่วนตัว แม้ว่าจะไม่ใช่ปัญหาหรือเรื่องใหญ่สำหรับบางคน แต่ก็สำหรับบางคนที่สายชิล ก็อาจทำให้เบื่อหน่ายได้

คุณสมบัติของ “รถบ้าน”

หลาย ๆ คน คงเคยได้เห็นรถบ้านในภาพยนตร์หรือซีรี่ย์ต่างประเทศ และพอจะทราบข้อมูลมาบ้าง ว่ารถบ้านหน้าตาเป็นลักษณะเป็นอย่างไร รถบ้านก็เปรียบเสมือนกับบ้านหลังเล็ก ๆ หลังหนึ่ง หรือเรียกว่าบ้านย่อส่วน แต่ไม่ได้มีความหมายเดียวกับบ้านน้อยนะ ซึ่งก็จะมีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน คือ มีที่นอน มีชุดอุปกรณ์ทำครัว มีห้องน้ำในตัว และมีอุปกรณ์ในการนั่งรับประทานอาหารหรือพักผ่อนนอกตัวรถ ไว้สำหรับจอดเพื่อพักนั่งชมวิวทิวทัศน์ข้างนอก โดยรถบ้านจะมีหลายขนาด ถ้าเลือกรถบ้านคันใหญ่ก็จะสามารถรองรับจำนวนคนได้เพิ่มหากไปกันทั้งครอบครัว และมีพื้นที่ใช้สอยได้สะดวกเพิ่มขึ้น

สำหรับในประเทศไทย การเดินทางท่องเที่ยวด้วยรถบ้านเห็นจะมีเป็นส่วนน้อยกว่าต่างประเทศ เนื่องจากว่าราคาซื้อขายรถบ้านในประเทศไทย ราคาเทียบเท่ากับบ้านหนึ่งหลัง หรือมีราคาสูงกว่านั้น ส่วนเรื่องการเช่ารถบ้านในประเทศไทยราคาต่อวันมีราคาสูงเช่นกัน และด้วยเนื่องว่าบางคนห่วงเรื่องความปลอดภัย หรือความสะดวกสบายที่มีมากกว่าเดินทางนอนอาศัยอยู่ในรถบ้าน จึงไม่ค่อยมีให้เห็นมากนัก แต่ที่ต่างประเทศ การเดินทางท่องเที่ยวด้วยรถบ้าน จะมองเป็นเรื่องปกติ ส่วนใหญ่จะเป็นสายลุย สายชิล กันอยู่แล้ว และที่ต่างประเทศมีบริการให้เช่ารถบ้านในราคาที่ถูกกว่าประเทศไทยอยู่ด้วย พร้อมทั้งมีโซนการจอดการพักไว้ให้บริการแก่รถบ้านอย่างเป็นเรื่องเป็นราว และมีโรงชาร์ตไฟให้รถบ้านไว้บริการให้อีกด้วย

ข้อดีของการเดินทางเที่ยวด้วย “รถบ้าน”

1. ไม่ต้องห่วงเรื่องเวลา หากเราเดินทางท่องเที่ยวด้วยรถบ้าน จะตัดเรื่องความกังวลเรื่องเวลาการเดินทาง เหมือนกับเราเดินทางด้วย รถทัวร์หรือเครื่องบิน ซึ่งมีเวลาตารางการออกเดินทางแน่นอน หากเราไปไม่ทันเวลา แผนการเที่ยวครั้งนี้ ก็อาจจะล่มหรือคลาดเคลื่อนไปเลย

2. ไม่ต้องเสียเวลาแพ็คกระเป๋า คนที่เคยซื้อทัวร์โปรแกรมเที่ยว ไม่ว่าจะในประเทศไทยหรือต่างประเทศ ก็คงได้รับประสบการณ์ในเช่นเดียวกันที่ว่า เช็คอินเข้าโรงแรมเสร็จ แกะกระเป๋าเอาของใช้ส่วนตัว พอรุ่งขึ้นอีกวัน ก็ต้องแพ็คกระเป๋าใหม่อีกครั้งเพื่อออกเดินทาง เพราะโปรแกรมทัวร์จะเปลี่ยนสถานที่ไปเรื่อย ๆ เปลี่ยนโรงแรมด้วย ยิ่งบางคนจัดหนักจัดเต็ม ขนสัมภาระกระเป๋าหนักเกิน 7 -10 กิโลกรัมเลยก็มี ขากลับยิ่งหนักกว่าเดิมอีก เพราะของฝาก ทั้งเค้าฝากเราซื้อ และเราซื้อฝากเค้า

3. วิวมันสวย ฉันจะจอดตรงนี้! ในทริปต่างประเทศ การเดินทางเที่ยวด้วยรถบ้านนั้นคุ้มค่าสุด ๆ เพราะในต่างประเทศ แทบทุกที่ มีมุมที่สวยมาก ในระหว่างทางที่รถขับแล่นไป เห็นมุมข้างทาง สวยจนน่าเก็บภาพ ก็สามารถจอดแวะได้เลย ซึ่งความพิเศษนี้หาไม่ได้จากโปรแกรมทัวร์แน่นอน

4. ไม่ต้องกลั้นเข้าห้องน้ำ อยากดื่มน้ำก็ดื่มไปเลย อยากกินก็กินเต็มที่ ไม่ต้องคอยจิบน้ำแค่ให้พอชุ่มคอ เพราะกลัวว่าจะปวดหนักปวดเบาระหว่างทาง ในรถบ้านมีห้องน้ำส่วนตัว คลายความกังวลเรื่องนี้ไปได้เลย สำหรับคนที่เคยเดินทางด้วยรถยนต์ส่วนตัว หรือรถทัวร์ ที่ต้องอดทนกลั้นไว้ให้รอถึงปั้ม คงทรมานและเป็นห่วงกรวยไตว่าจะอักเสบ

หากใครชอบท่องเที่ยวและการเดินทาง แนะนำว่าให้ลองหาประสบการณ์ในการเที่ยวด้วยรถบ้านสักครั้งในชีวิต มันไม่ได้ดูลำบากหรือน่ากลัวอะไร เผลอ ๆ อาจจะติดใจมีครั้งที่สองก็เป็นได้

ส่วนในประเทศไทย เคยมีคนที่ดัดแปลงรถเองให้เป็นรถบ้านขับไปเที่ยวแบบคู่รักหรือครอบครัว ซึ่งความจริงแล้วสามารถที่ทำได้ แต่ก็ขอให้ศึกษาข้อกฎหมายในเรื่องการดัดแปลงสภาพรถยนต์ด้วย ว่ามีข้อห้ามหรือข้อจำกัดอย่างไร จะได้เที่ยวแบบปลอดภัย ถูกต้อง ราบรื่นตลอดทาง

ไปช้า ๆ แต่ชัวร์ ด้วยการเดินทางเที่ยวไปกับรถไฟ ปู๊น ๆ

รถไฟเป็นระบบการขนส่งและการคมนาคมสาธารณะ โดยกิจการรถไฟของประเทศไทยนั้น ได้เริ่มเกิดขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2429 จะเห็นว่ามีการเดินทางและขนส่งด้วยรถไฟมานานแล้ว และเป็นการเดินทางด้วยพาหนะที่มีความเร็วที่สุดแล้วในสมัยนั้น ซึ่งเป็นชนิดเดียว และในต่อมาถึงได้พัฒนาเริ่มมีการเดินทางด้วยยานพาหนะโดยใช้กำลังเครื่องยนต์เข้ามา แม้ว่าปัจจุบันจะมีเทคโนโลยีก้าวหน้าสักเพียงใด แต่ก็ยังมีคนอีกจำนวนมาก เลือกที่จะเดินทางด้วยรถไฟ ซึ่งตารางการเดินทางด้วยรถไฟก็ยังหนาแน่นและคับคั่งไปด้วยผู้คนอยู่เสมอ

“รถไฟ” เสน่ห์ที่ไม่เคยจางหายไปตามกาลเวลา

การเดินทางท่องเที่ยวโดยใช้บริการรถไฟ อย่างที่ทราบกันดีว่า รถไฟใช้รางแทนถนน และเป็นการใช้กำลังเครื่องจักรกลในการเคลื่อนตัวไปข้างหน้า แต่รถไฟของประเทศไทยบางคนอาจจะคิดว่าการเดินทางด้วยรถไฟนั้นเสียเวลา แต่ช้าก่อนความจริงแล้วรถไฟวิ่งเร็วกว่าที่คิด โดยจะอยู่ที่ค่าเฉลี่ย 100 กิโลเมตร/ชั่วโมง แต่ด้วยเส้นทางการเดินทางด้วยรถไฟของประเทศ ไม่มีรั้วกั้น และยังมีทางตัดผ่านเพื่อให้คนหรือรถได้ข้ามผ่าน ง่าย ๆ คือ ใช้ถนนร่วมกันในบางเส้นทาง จึงทำให้รถไฟไม่สามารถใช้ความเร็วคงที่หรือเสถียรได้เท่าที่ควรจะเป็น

เสน่ห์ของเสียงฉึกฉัก ๆ ในการเดินทางนี้ คือเราจะได้สัมผัสบรรยากาศสองข้างทางอย่างเต็มอิ่ม พร้อมกับลมตีแสกหน้า ให้ความรู้สึกเหมือนกับกำลังนั่งรถเก๋งเปิดประทุน โดยใช้งบเพียงน้อยนิด อย่างที่เคยได้กล่าวไว้ตามข้อความข้างบน รถไฟวิ่งได้เร็ว แต่ด้วยข้อจำกัดในเส้นทางของประเทศไทย จึงใช้เวลานานกว่าการโดยสารด้วยทางเลือกอื่น ๆ เพราะรถไฟแวะทุกสถานี การเดินทางเที่ยวด้วยรถไฟจึงเหมาะกับคนที่มีสไตล์สโลว์ไลฟ์ หรือ คนใจเย็นและชิว ๆ ง่าย ๆ

การเลือกเดินทางท่องเที่ยวด้วยรถไฟ ปัจจุบันมีรถไฟรุ่นใหม่อัพเดทพัฒนาแล้ว ทั้ง 4 เส้นทาง นั่นก็คือมีตู้นอนให้ด้วย แถมเป็นส่วนตัวมาก ๆ มีผ้าม่านปิดกั้น แล้วตู้นอนก็คือแบบมีเตียงให้เรานอนเหยียดยาวไปเลยจริง ๆ ไม่ใช้การนอนบนรถทัวร์หรือเครื่องบินที่ปรับเบาะเอนลง ซึ่งก็เอนลงไม่สุดทำให้นอนเหมือนไม่ได้นอน แต่ตู้นอนบนรถไฟนั้น คือการนอนบนเตียงจริง ๆ เหมือนโรงแรมเคลื่อนที่ ทำให้เมื่อตื่นมาแล้ว ไม่รู้สึกเมื่อยเนื้อเมื่อยตัว พร้อมที่จะตะลุยทริปเที่ยวที่เราได้วางแผนเอาไว้

ความคลาสสิคที่ทันสมัย เพิ่มเติมเทคโนโลยีเข้าไป เพื่อการเดินทางที่แสนสนุก

ปัจจุบันมีการใช้โซเชียลในการดำรงชีวิตประจำวัน เป็นเรื่องที่จำเป็นและสำคัญมาก ๆ และการพัฒนารถไฟนอกจากจะมีตู้นอนให้บริการไว้สำหรับคนที่เดินทางตอนกลางคืนแล้ว ยังมีปลั๊กไฟให้เพื่อสนองความต้องการของคนที่ติดโทรศัพท์แล้วลืมแบตสำรอง หรือชาร์ตจนแบตสำรองหมดแล้ว และยังไม่หมดแค่นี้ ยังมีห้องอาบน้ำอุ่น Wifi ฟรี อาหารเช้า ร้านสะดวกซื้อเล็ก ๆ จอทีวี และโคมไฟอ่านหนังสือ ครบเครื่องขนาดนี้ มันไม่ใช่การเดินทางที่แสนน่าเบื่ออีกต่อไป

เพราะรถไฟใช้รางวิ่งแทนถนน หากเราท่องเที่ยวด้วยรถไฟ เราจะได้ประสบการณ์ใหม่ ๆ แน่นอน เพราะเส้นทางรางรถไฟจะแยกต่างหากจากถนน เราจะได้สัมผัสมุมมองใหม่ ๆ วิวทิวทัศน์ที่ต่างจากการเดินทางด้วยรถยนต์ เป็นเสน่ห์แบบคลาสสิค ที่คนรุ่นใหม่ก็ยังเลือกใช้รถไฟในการเดินทางเที่ยว และรู้สึกประทับใจและชอบความคลาสสิคแบบนี้

เตรียมตัวเที่ยวให้เป๊ะ ก็เหมือนมีผู้ช่วยตลอดทาง หายห่วงตลอดทริป

ในการเดินทางท่องเที่ยวแต่ละครั้ง มีของใช้จำเป็นมากมาย ที่ต้องนำติดตัวไป แต่ก็ยังมีหลายคนที่ลืมนู่นนี่นั่นนิดหน่อย และละเลยความสำคัญ จนทำให้บางทีมีเหตุสะดุดหรือเกิดความกังวลใจได้ เราจะมาจัดการสัมภาระกันอย่างไร ให้การออกไปเที่ยวในครั้งนี้มีแต่ความสบายใจ

สร้างกระเป๋าเดินทางให้เป็นกระเป๋าโดราเอม่อน

สำหรับกระเป๋าเดินทางไม่ว่าจะใบเล็กและกระเป๋าลาก สำหรับ 1 คน ควรมีของสำคัญดังนี้

– บัตรประจำตัวประชาชน หรือ พาสปอร์ต (Passport) สำคัญมากถ้าหากไม่อยากถูกมองเป็นคนต่างด้าว เพราะแสดงได้ถึงตัวตนของเรา เป็นเอกสารสิทธิ์ส่วนบุคคล ในการท่องเที่ยวแต่ละครั้งสามารถใช้ยื่นเพื่อรับสิทธิ์หรือใช้สิทธิ์ในสถานที่นั้น ๆ ได้

– เงิน อันนี้ขาดไม่ได้เลย แต่ปัจจุบันมีเทคโนโลยีเข้ามาในเรื่องธุรกรรมการเงินในเรื่องการใช้จ่าย การพกเงินสดจึงไม่ค่อยจำเป็นมากนัก แต่ก็ควรมีติดตัวไว้ส่วนหนึ่ง เผื่อไว้ในบางสถานที่ที่รับชำระเป็นเงินสดเท่านั้น

– ยารักษาโรคประจำตัว หรือ ผลิตภัณฑ์อื่น ๆ เช่น ยากันยุง ยาแก้แพ้ หากบางคนเป็นภูมิแพ้ หรือแพ้แมลงสัตว์กัดต่อยและแพ้อาหารแล้วดันเผลอกินเข้าไป มีไว้ป้องกันจะดีกว่า

– เสื้อผ้า ควรเตรียมไปให้เหมาะสมและเพียงพอกับสถานที่ที่เราจะไปท่องเที่ยว อย่าคิดว่าไปหาเอาดาบหน้า นอกจากจะสวยไม่ถูกใจแล้ว มันเสียเวลาในการเที่ยวด้วย

– ของใช้ส่วนตัวถ้าเตรียมไปให้ครบได้ควรเตรียมไว้ อย่างถ้าคุณผู้หญิงควรเตรียมครีมบำรุงผิว หรือเครื่องสำอางที่ใช้อยู่ประจำอยู่แล้ว แบ่งใส่ขวดเล็ก ๆ ไว้ บางคนคิดง่าย ไว้ค่อยไปแวะซื้อใหม่ พอซื้อแล้วใช้ไม่หมดเอากลับมาอยู่ดีให้รกบ้าน ครั้นเวลาไปเลือกซื้อใหม่ก็เลือกนาน แทนที่จะโฟกัสในการเที่ยวให้เต็มที่ ต้องมาเสียเวลาเลือกซื้อของอีก

และทั้งหมดนี้คือสิ่งของจำเป็นที่กระเป๋า 1 ใบสำหรับการเดินทางต้องมี หากเราเตรียมความพร้อมทั้งหมดจัดลงในกระเป๋าแล้ว จะช่วยให้ได้เที่ยวแบบสบายใจและประหยัดเวลาในการวิ่งหาซื้อของแบบฉุกเฉิน

ฝากไว้เล็กน้อยสำหรับการเตรียมตัวเดินทาง ควรพักผ่อนให้เต็มที่ก่อนวันออกเดินทาง เพื่อที่จะได้เที่ยวแบบสดชื่น และก่อนออกจากบ้านควรจะเช็คความเรียบร้อย ล็อคประตูบ้านเพื่อความปลอดภัย และนอกจากนี้อยากเที่ยวให้สนุก ต้องทานให้คุ้ม กินให้อิ่ม สนุกกับชีวิตให้มาก ๆ ที่สำคัญมีวินัยและตรงต่อเวลาในการเข้าพักโรงแรมและการเดินทาง และระหว่างทางการเดินทางหากนั่งรถเที่ยว ควรมองข้างทาง สังเกตรายละเอียดในสถานที่ อย่าเอาแต่ก้มหน้าเล่นมือถืออย่างเดียว เพราะเราอาจจะพลาดวิวสวย ๆ ผู้คน บ้านเรือน หรือสิ่งที่น่าสนใจ กลับมาจากการเที่ยวจะได้มีเรื่องเล่า มีเรื่องให้น่าจดจำ แบ่งปันบอกต่อคนอื่น ๆ ว่าเราได้อะไรมาบ้างแล้วมันดีอย่างไร

เครดิตภาพ : https://pixabay.com/photos/fashion-accessories-handbag-2208045/

เทคนิคเลือกกระเป๋าเดินทางให้คุ้ม ไม่ต้องง้อแบรนด์ก็ได้

ไม่ว่าใครก็ต้องมีกระเป๋าเดินทางสักใบ ไม่ว่าจะเอาไว้ใช้ประโยชน์ในการเดินทางหรือกิจธุระส่วนตัวอะไรก็ตาม แต่เชื่อว่าทุกคนต้องมีการเดินทางกันอยู่แล้ว การเลือกซื้อกระเป๋าเดินทางสักใบที่สามารถใช้งานได้หลายปี มีความทนทานพร้อม ๆ กับความสตรองของเจ้าของกระเป๋า วันนี้มีเทคนิคในการเลือกซื้อกระเป๋าเดินทาง โดยไม่ต้องจำกัดว่าจะต้องเป็นแบรนด์ดัง ใช้แล้วดูแพงดี ซึ่งมันไม่จำเป็น เอาเป็นว่ามีอะไรบ้าง มาดูกันเลย

ก่อนจะเลือกซื้อกระเป๋าเดินทาง สละเวลาสักนิดอ่านตรงนี้ก่อน

1. พิจารณาตามราคาที่เหมาะสม อย่ายึดติดกับคำว่าแบรนด์หรือแพงไว้ก่อนยังไงของแพงก็ดี อาจจะมีส่วนอยู่บ้างที่ว่าของที่มีราคา มักจะมีคุณภาพสูงตามมา บางคนเน้นแบรนด์หรือความสวยงาม ซึ่งมีราคาสูงเกินความจำเป็น แต่ควรจะมองถึงวัสดุที่นำมาทำกระเป๋าด้วยว่า มีความแข็งแรง และทนต่อการใช้งานมากน้อยแค่ไหน

2. ไซส์ขนาดของกระเป๋า ควรเลือกซื้อในขนาดที่พอดี ไม่ใหญ่เกินไป มันจะดูเกะกะเวลาที่เราขนย้ายไปไหนด้วย ทำให้ไม่สะดวก ขนาดที่แนะนำและคนนิยมใช้กันก็คือ ขนาด 26 นิ้ว เวลาฉุกเฉินสามารถอุ้มได้ แบกได้ ไม่ต้องกลัวหายหรือทิ้งไว้กลางทาง

3. ฟังก์ชั่นการใช้งานของประเป๋า เช่น สายรัดในกระเป๋าต้องควรมี เพื่อช่วยในการรัดสัมภาระให้เป็นระเบียบเรียบร้อย และควรมีช่องตาข่ายภายในกระเป๋าไว้เก็บแยกของใช้ต่างหาก เพื่อความเรียบร้อยในกระเป๋าอีกนั่นแหล่ะ

4. ก่อนซื้อให้เช็คภายนอกของกระเป๋าเดินทางด้วย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของซิปควรรูดทดลองก่อนว่าลื่นตลอดสายไหม ล้อลากไปในทิศทางเดียวกันและเคลื่อนที่ได้ง่าย หูหิ้วและคันชักของกระเป๋า จับได้สบายมือ ดึงเก็บและดึงขึ้นมาใช้งานไม่สะดุด

5. สีสันของกระเป๋าก็น่าคิด การเลือกซื้อสีเบสิคอย่างสีดำ สีเข้ม ๆ ก็ดูให้เหมือนปกติทั่วไป ถ้าไม่อยากเด่นจนเกินไป จะได้กลมกลืนกับกระเป๋าของคนอื่น แต่ในอีกแง่มุมหนึ่งสำหรับคนที่ชอบสีสันของกระเป๋าเดินทาง คือมันหาเจอง่ายและมันดูสวยโดดเด่น ยิ่งเวลากระเป๋าเดินทางหลังจากโหลดมาตรงสายสะพายของสนามบินแล้ว กระเป๋าเดินทางที่มีสีสันแตกต่าง จะทำให้ไม่เสียเวลามองหา จะได้ไปต่อไม่รอใครแล้วนะ

และนี่คือ 5 เทคนิคง่าย ๆ ที่จะช่วยตัดสินใจสำหรับใครที่กำลังมองหากระเป๋าเดินทางสักใบ ที่คุ้มค่าต่อการใช้งาน หากพิจารณาตาม 5 ข้อนี้แล้ว ก็จะได้กระเป๋าเดินทางที่มีใช้งานได้นานหลายปี โดยไม่ต้องเสียเงินซื้อใบใหม่หรือเสียเงินซ่อมแซมกระเป๋าในภายหลัง และการดูแลรักษาความสะอาดของกระเป๋าให้ดี จะช่วยยืดอายุการใช้งานออกไปได้อีกด้วย เลือกกระเป๋าเดินทางดี ก็เหมือนเลือกรองเท้าคุณภาพดีสักคู่หนึ่ง ที่พร้อมลุยเดินทางไปด้วยกันแบบเท่ห์ ๆ

ทุกครั้งที่คุณได้ไปท่องเที่ยว คุณรู้หรือเปล่า ว่าคุณได้วิตามิน?

การได้ออกไปเดินทาง ก้าวออกจากที่ ๆ เคยอยู่ ได้ไปพบเจออะไรใหม่ ๆ มันเหมือนกับการได้ไปค้นหาอะไรบางอย่าง ที่อาจจะเติมเต็มในสิ่งที่ขาดหายหรือโหยหายอยู่ ได้ออกไปสูดอากาศในสถานที่ที่แตกต่างจากที่เราได้เคยใช้ชีวิตประจำวันอยู่ที่เดิม ๆ มันเป็นการเติมวิตามินให้กับชีวิต เป็นวิตามินที่หาไม่ได้จากอาหารที่เราทาน หรือจากน้ำที่เราดื่มลงไป แต่มันเป็นวิตามินที่เติมลงไปในหัวใจ ให้เราได้สดชื่น วิตามินนี้ ไม่จำเป็นต้องหาซื้อด้วยเงินตรา ไม่มีราคา เพียงแค่เราออกเดินทาง

จิตใจที่ร่าเริง เป็นยาวิเศษ

คนหลาย ๆ คน อาจจะได้ยินได้ฟังประโยคนี้มาบ้างแล้ว “จิตใจที่ร่าเริง เป็นยาวิเศษ” ดูเหมือนเป็นคำพูดเลื่อนลอย หรือฟังผ่าน ๆ โดยไม่คิดอะไร แต่ความหมายของประโยคนี้มีความลึกซึ้ง และเป็นจริง การที่เรามีความสุขกับทุกสิ่งที่อยู่รอบๆ ของตัวเราเอง การที่เราได้ออกไปพบปะผู้คน หรือออกไปเจอสถานที่ใหม่ ๆ ที่เราไม่เคยได้ไป มันมีความรู้สึกตื่นเต้น แปลกตา แปลกใจ กับสิ่งที่เราไม่เคยได้เห็น หรือแม้กระทั่งเราจะเคยได้เห็นเพียงแค่รูปถ่าย แต่พอเราได้ไปสัมผัสกับสถานที่นั้นจริง ๆ ด้วยตัวเอง มันรู้สึกพิเศษ สดชื่น หัวใจของเรารู้สึกว่าเต้นแรงขึ้น สมองมีความตื่นตัว แล้วร่างกายจิตใจของเราก็ประมวลผลได้ว่า นี้แหล่ะ มันก็เป็นความสุขอย่างหนึ่ง ที่บางทีเราอาจจะไม่มีทุนทรัพย์เยอะพอที่จะข้ามน้ำข้ามทะเลไปไกลถึงต่างประเทศ เราแค่ได้ออกไปสถานที่ที่หนึ่ง ที่ไม่ต้องอุดอู้อยู่แต่ในห้องสี่เหลี่ยม หรือบ้านที่มีพื้นที่ล้อมรอบด้วยรั้ว แต่เราสามารถที่จะหาความสุขให้ตัวเอง วิตามินที่อัดเข้าไปในหัวใจของเรา นั่นก็คือการแค่ออกไปเที่ยวแค่นั้นเอง

จะไปเที่ยวที่ไหนละ ที่เรียกว่าวิตามินที่มีประโยชน์

ความชอบของแต่ละคนไม่เหมือนกัน แต่ถ้าพูดถึงว่า “มีประโยชน์” นั่นหมายความว่าสถานที่ที่เราเลือกจะไปนั้น มันให้ความสุขจริง ๆ กับเรา ไม่ใช่สถานที่ที่เราไปแล้ว เป็นแค่ที่ระบายอารมณ์แค่ชั่วครั้งชั่วคราว แต่เป็นสถานที่ให้ความประทับใจ ให้ความรู้สึกนึกถึง เมื่อได้กลับมาแล้ว เป็นสิ่งที่น่าจดจำ และนำไปบอกต่อ ๆ หรือแนะนำให้กับคนอื่น ๆ ได้อีก สามารถที่จะคุยโม้โอ้อวดให้กับเพื่อน ๆ นำมาเขียนเป็นเรื่องราวได้ และกลับมามีรอยยิ้มหลังจากไปสถานที่นั้นแล้ว

วิตามิน จากการได้ท่องเที่ยว เปรียบเทียบจากสิ่งที่มองเห็นไม่ได้ด้วยตา คือความอิ่มเอมใจ ความสุขล้นในหัวใจ ความเหนื่อยล้ามันหายไป หัวใจรู้สึกสดชื่น เส้นเลือดได้สูบฉีดอย่างเต็มที่ แต่สิ่งที่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาและการกระทำนั่นก็คือ ภาพถ่ายที่อยู่ในโทรศัพท์หรือในกล้องว่ามีจำนวนกี่ภาพ เราสถานที่นั้น เราประทับใจและชอบมาก ๆ รูปในกล้องของเราจะมีเยอะมาก และอีกอย่างก็คือของที่ระลึกจากสถานที่นั้น ๆ ได้เก็บเอามาไว้ด้วย

เที่ยวอยู่ที่บ้านแบบสบาย ๆ ไม่เหนื่อยไปกับ Google Maps

ในยุคข้าวยากหมากแพงแถมยังมีโรคระบาดหรือปัจจัยภายนอกอื่น ๆ ที่เราไม่อาจควบคุมได้ ทำให้บางครั้งอารมณ์อยากเที่ยวของเราก็ต้องหมดลงอย่างฉับพลัน ครั้นจะอุดอู้ในบ้านก็อาจจะน่าเบื่อเกินไป แต่อย่าดูถูก Google Maps เชียว เพราะถึงแม้จะเป็นแอปพลิเคชันที่เรา ๆ ใช้กันอยู่ทั่วไป แต่โหมด Street View อันเลื่องชื่อนั้นก็ยังมีวิวสวย ๆ จากนานาประเทศอีกมากที่คุณอาจไม่เคยเห็น หรือไม่เคยนึกคิดจะลองเปิดดูมาก่อน

ขึ้นเหนือล่องใต้ ปีนเขาดำน้ำ ไปกับ Street View

  • Antarctica

เป็นอีกสถานที่ที่ถ้ามีเพียงแค่เงินอย่างเดียวคงจะไปไม่ได้ เพราะต้องเตรียมความพร้อมทั้งทางกายและใจที่จะรับมือกับสภาพอากาศที่ไม่เป็นมิตรต่อประชาชนเมืองร้อนอย่างคนไทยเอาซะเลย แต่ด้วยวิวทิวทัศน์ที่สวยงามของแสงเหนือที่แอนตาร์กติกาทำให้หลาย ๆ คนเฝ้าใฝ่ฝันว่าอยากจะลองไปดูให้เห็นกับตาสักครั้ง และก็ต้องขอบคุณเทคโนโลยี Street View ทำให้เราได้เห็นผืนแผ่นน้ำแข็งสีขาวสะอาดไกลสุดลูกหูลูกตา และอิสระเท่าที่คุณจะเดินได้ในสถานที่จริง ซึ่งเทคโนโลยีทันสมัยแบบนี้ก็มีอยู่บน fun88 เช่นกัน

  • Great Barrier Reef

มาสัมผัสโลกใต้น้ำไปกับ Great Barrier Reef ที่ทาง Google ได้ร่วมมือกับทีม Catlin Seaview Survey ที่เป็นหน่วยศึกษาและวิจัยเกี่ยวกับแนวปะการังของโลก สิ่งที่น่าตื่นตาตื่นใจคือเราสามารถดูวิวแบบ 360 องศา “ใต้น้ำ” ที่จะเห็นทั้งทะเล ปะการัง กระทั่งฝูงปลา หรือนักประดาน้ำ แม้คุณจะแค่นั่งอยู่ที่บ้าน หน้าจอคอมพิวเตอร์หรือโทรศัพท์มือถือก็ตาม

  • Disneyland

เป็นอีกหนึ่งสถานที่ในฝันประจำดวงใจใครหลาย ๆ คนกับดินแดนแห่งความมหัศจรรย์ที่ดิสนีย์รังสรรค์ขึ้นมา แต่พอเห็นค่าตั๋วและจำนวนคนต่อคิวแล้วก็ถึงกับลมแทบจับ การจะมาลองชิมลางเดินเล่นในดิสนีย์แลนด์ที่ Street View ทำไว้ให้ก็ไม่ใช่เรื่องแย่อะไร เพราะมีดิสนีย์แลนด์ให้เลือกเดินเที่ยวชมด้วยกันถึง 11 แห่งด้วยกัน ถือเป็นเรื่องดีมาก ๆ เพราะถ้าหากเด็ก ๆ คนไหนอยู่บ้านเบื่อ ๆ คุณพ่อคุณแม่หรือกระทั่งแฟน ๆ การ์ตูนดิสนีย์เองก็สามารถพาพวกเขาไปใกล้ชิดกับปราสาทของเจ้าหญิงคนโปรดได้ง่าย ๆ

นอกจากนี้ Google Street View ยังมีสถานที่ที่น่าสนใจอีกมากมายที่เราอาจมีโอกาสน้อยนักจะได้ไป เช่น ปราสาทในตำนานของท่านเคาท์ แดรกคิวลา ทำเนียบขาว หรือจะเป็นสถานีของ NASA ก็น่าสนใจไม่ใช่น้อยเลยทีเดียว

เทคโนโลยีทำให้โลกแคบลง

              คงเป็นจริงดังนั้น เพราะทุกวันนี้นอกจากเราจะสามารถติดต่อสื่อสารกับคนที่อยู่คนละขั้วพิกัดของโลกได้แล้ว เรายังมีเทคโนโลยีเสมือนจริงที่จะรวบรวมวิวสวย ๆ แบบ 360 องศามาให้เราดูกันหน้าคอมฯแบบสบาย ๆ ในวันที่ไม่คิดอะไรมากก็สามารถเดินเที่ยวกันใน Street View ได้ที่ต่างประเทศโดยไม่เสียค่าเดินทางสักบาท อีกทั้งยังมีอะไรเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่ทำให้เราแอบอมยิ้มได้กับความ “จริง” ของภาพเหล่านั้น ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นภาพหลุด ๆ ที่เรียกเสียงหัวเราะอย่างไม่ตั้งใจ เช่น บางคนพอเห็นกล้องก็หันมาแอคท่าใส่ หรืออิริยาบถความน่ารักของเหล่าสัตว์ก็มี

โอมากะเสะ อาหารญี่ปุ่นราคาแพงและมารยาทที่ควรรู้ก่อนรับประทานอาหารมื้ออร่อย

โอมากาเสะ (Omakase) เป็นรูปแบบของร้านอาหารที่ได้รับความนิยมอย่างมากในประเทศญี่ปุ่น โดยมีความหมายว่าเป็นอาหารที่จัดขึ้น “ตามใจเชฟ” โดยคัดเลือกเอาวัตถุดิบตามหน้าฤดูกาลมาปรุงให้ได้รสชาติที่ดีที่สุด รสชาติที่ได้จึงมีความอร่อยและปรับเปลี่ยนไปเรื่อย ๆ ทำให้ผู้รับประทานได้รับความตื่นเต้นและประทับใจนอกเหนือจากความอิ่มท้องนั่นเอง

ก่อนที่คุณจะจองโอมากาเสะ (Omakase) เจ้าที่คุณถูกใจ เรามีกฏและกติกาในการทานโอมากาเสะที่จะช่วยให้คุณลิ้มรสอาหารมื้อพิเศษได้ดียิ่งขึ้น เป็นประสบการณ์ที่น่าจดจำระหว่างคุณและคนพิเศษ

ข้อห้ามในการรับประทานโอมากาเสะเพื่อให้ได้รสชาติที่ดีมากยิ่งขึ้น

  • อย่าให้ข้าวสัมผัสโชยุเป็นกฏข้อแรกของการทานซูชิเลยทีเดียว ถ้าคุณอยากจะนำซูชิจิ้มโชยุสักเล็กน้อย แนะนำให้หมุนด้านปลาเพื่อจิ้มแทนเพื่อไม่ให้ข้าวแตกและทำให้ซูชิเสียสมดุลไป
  • ห้ามใช้มือทานซาชิมิ ซาชิมิเป็นชิ้นของปลาดิบที่จะทำปฎิกริยาต่อความร้อนของมือเรา ดังนั้นควรจะใช้ตะเกียบทานซาชิมิแทน แต่หากคุณจะทานซูชิก็สามารถใช้มือทานได้ตามปกติ
  • ห้ามทานขิงที่วางไว้พร้อมกับซูชิ ขิงที่เชฟวางมาให้บนจานจะช่วยล้างปากหลังจากที่ทานซูชิเสร็จ ไม่ควรจะทานพร้อมกับซูชิเพราะจะทำให้เสียรสชาติแต่ให้ทานหลังจากที่ทานซูชิบนจานหมดแล้วแทนเพื่อเตรียมพร้อมในการรับรสอาหารจานถัดไปที่เชฟกำลังจะจัดเสิร์ฟให้คุณ
  • อย่าผสมโชยุเข้ากับวาซาบิ เพราะว่าเชฟจะแต้มวาซาบิระหว่างเนื้อปลากับข้าวของซูชิมาให้เรียบร้อยแล้วในจำนวนที่เหมาะสมกับเนื้อปลา หากคุณต้องการวาซาบิเพิ่ม ก็ให้แต้มจำนวนเล็กน้อยลงบนเนื้อปลาแทน
  • ควรทานอาหารให้หมดจานต่อจาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับโอมากาเสะ เนื่องจากทางเชฟได้ออกแบบและจัดลำดับการทานอาหารในแต่ละจานของคุณไว้แล้วโดยเรียงจากเมนูที่มีรสชาติอ่อนที่ไปจนถึงเข้มที่สุด ดังนั้นเพื่ออรรถรสในการรับประทานโอมากาเสะจึงควรจะทานอาหารให้หมดตามลำดับที่เชฟจัดเสิร์ฟ

กฏในการทานอาหารญี่ปุ่นนั่นค่อนข้างมีอยู่มากมายโดยเฉพาะอาหารแบบโอมากาเสะที่เชฟใช้แรงใจและความสร้างสรรค์ในการปรุงอาหารออกมาจานต่อจาน อีกทั้งมีราคาแพงอีกด้วย แต่กฏทั้งหลายก็ไม่ยากนักถ้าจะเรียนรู้ จงจำไว้ว่ากฏส่วนใหญ่เป็นมารยาทที่พึงกระทำตามปกติอยู่แล้ว หากคุณรู้สึกว่าทำอะไรผิดไปก็ไม่ต้องไปเครียดมากนักเพราะทางร้านจะเข้าใจเป็นอย่างดีว่าคุณไม่ใช่คนญี่ปุ่นและอาจจะไม่คุ้นชินกับวัฒนธรรมการกินแบบญี่ปุ่นมากนัก ควรการจำกฏไม่กี่ข้อที่จำเป็นก็พอ เพียงแค่นี้ก็จะทำให้คุณเป็นนักท่องเที่ยวที่ใส่ใจในวัฒนธรรมของประเทศที่คุณมาเยือนและจะได้รับการต้อนรับที่ดียิ่งขึ้นอย่างแน่นอน

แนวคิดสีเขียว 7 ประการ เพื่อการท่องเที่ยวที่ยั่งยืน : คุณเป็นคนหัวใจสีเขียวหรือเปล่า ?

แคมเปญรักโลกมาอีกแล้ว “ท่องเที่ยวสดใส ใส่ใจสิ่งแวดล้อม” ประกอบด้วยแนวคิดสีเขียว 7 ประการ (7 Green Concepts) เพื่อเป้าหมายสำคัญ 2 ประการ โดยประการแรกก็เพื่อให้เกิดการลดผลกระทบจากภาวะโลกร้อน และประการที่สองเพื่อให้เกิดรูปแบบการท่องเที่ยวที่ยั่งยืน ความจริงมีการประกาศแนวคิดนี้มาหลายปีแล้วล่ะซึ่งมันอยู่ภายใต้โครงการปฏิญญารักษาสิ่งแวดล้อมเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนของการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย มีการขับเคลื่อนกลยุทธและปลูกฝังแนวคิดนี้ให้กับนักท่องเที่ยวและคนรุ่นใหม่เรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน เอาล่ะ แนวคิดสีเขียวทั้ง 7 ประการมีอะไรบ้าง ไปดูกันเลย

1. Green Heart หัวใจสีเขียว

การจะมีหัวใจสีเขียวได้ เราต้องเริ่มที่การเปิดมุมมองความคิด เปิดใจรับรู้ข่าวสารและการเปลี่ยนแปลงของโลก เรียนรู้และเข้าใจภัยร้ายที่เกิดขึ้นจากภาวะโลกร้อนและสิ่งแวดล้อมที่ถูกทำลาย เห็นความสำคัญของการป้องกันและฟื้นฟูสิ่งแวดล้อม ค่อยๆ สร้างคติให้กับตัวเอง “เที่ยวด้วยใจคิด เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม” หัวใจสีเขียวจะค่อยๆ ก่อตัวขึ้นโดยที่คุณไม่รู้ตัว พอย้อนกลับมานึกถึงอีกทีคุณก็จะเป็นคนหนึ่งที่มีพฤติกรรมและการปฏิบัติตัวแบบสีเขียวแล้วล่ะ

2. Green Logistics รูปแบบการเดินทางสีเขียว

ต้องถือคติ “ท่องเที่ยวใกล้ไกล ใช้พลังงานให้คุ้มค่า” โดยเลือกรูปแบบเดินทางที่ประหยัดพลังงานหรือใช้พลังงานทดแทนเพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก  เราสามารถเลือกใช้พาหนะในการเดินทางให้เหมาะสม ในส่วนที่เป็นสถานที่ท่องเที่ยวก็จัดหาพาหนะที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม หรือจัดรถบริการสาธารณะเพื่อส่งเสริมไม่ให้ใช้รถส่วนตัว

3. Green Attraction แหล่งท่องเที่ยวสีเขียว

คุณรู้ไหม ว่ามีสถานที่ท่องเที่ยวที่เข้าร่วมเป็นแหล่งท่องเที่ยวสีเขียวมากมาย ซึ่งผู้ประกอบการเหล่านี้ จะนำแนวคิด 7 Greens ไปใช้ในการจัดบริการท่องเที่ยว เช่น การกำหนดนโยบายและแนวทางปฏิบัติสำหรับพนักงานและนักท่องเที่ยว มีการใช้ชนิดพันธุ์พืชท้องถิ่นในการตกแต่งและสร้างความร่มรื่นและช่วยดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ใช้ ผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม จัดรถบริการนักท่องเที่ยวที่ปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์น้อยที่สุด จัดการและลดปริมาณของเสียและขยะให้น้อยที่สุด เป็นต้น เพราะฉะนั้นเวลาไปเที่ยวอย่าลืมคตินี้ “ท่องเที่ยวทั่วทิศ เลือกแหล่งเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม”

4. Green Activity กิจกรรมสีเขียว

เลือกที่จะสนุกกับกิจกรรมท่องเที่ยวหลากหลาย และไม่ทำลายสิ่งแวดล้อม โดยอาจเป็นกิจกรรมที่สอดคล้องกับวิธีของผู้คนท้องถิ่น เหมาะสมและกลมกลืนกับสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรในพื้นที่นั้น เช่น การเดินชมวัด โบราณสถานและไหว้พระ การปั่นจักรยาน การเดินป่าศึกษาธรรมชาติ เป็นต้น

 5. Green Community ชุมชนสีเขียว

อย่างที่บอกว่ามีแหล่งท่องเที่ยวชุมชนทั้งในเมืองและชนบทที่จัดบริการท่องเที่ยวให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวสีเขียว แต่ชุมชนเหล่านี้ยังคงวิถีและเอกลักษณ์เฉพาะของชุมชนเอาไว้ เพราะงั้นเราในฐานะนักท่องเที่ยวหัวใจสีเขียว ต้อง “เที่ยวอย่างรู้ค่า รักษาเอกลักษณ์ชุมชน” ในส่วนของผู้จัดบริการแหล่งท่องเที่ยวชุมชนเองก็ต้องมองไปถึงการพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวที่มีความยั่งยืน ต้องมีการจัดการดูแลเรื่องขยะและสิ่งแวดล้อม รักษาความสมบูรณ์ของธรรมชาติและการดำรงอยู่ของวิถีท้องถิ่น

6. Green Service การบริการสีเขียว

เรามักจะเห็นบริการของสถานที่ท่องเที่ยว โรงแรม ที่พักหลายแห่ง ที่เสนอทางเลือกบริการที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม นั้นก็เพื่อรักษาสิ่งแวดล้อมและลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก เพราะฉะนั้นเวลาเที่ยวไหน ใกล้ ไกลให้ “เลือกใช้บริการธุรกิจที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม”

7. Green Plus ความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม

                นอกจากเราจะรับผิดชอบขยะที่เราเป็นคนสร้าง และปฏิบัติตามข้อกำหนดของสถานที่ท่องเที่ยวแล้ว อย่าลืมถือคติ “ลดโลกเลอะ” ด้วยนะ โดยอาจเริ่มที่ตัวเราในการลด ละ เลิกใช้พลาสติก หรืออาจเป็นรูปแบบการรวมกลุ่มทำประโยชน์เพื่อลดโลกเลอะ เกิดเป็น “จิตอาสา พาโลกสดใส ใส่ใจสิ่งแวดล้อม” ซึ่งหากทำได้แค่นี้ก็ถือได้ว่าเป็นผู้ที่มีความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม หรือ เป็น Green Plus ได้เลยจ้า

                อย่าลืมนะ…เริ่มที่เปิดมุมมอง เรียนรู้ เข้าใจสาเหตุและผลกระทบภาวะโลกร้อน และมาร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการลดภาวะโลกร้อนด้วยการท่องเที่ยวที่ยึดหลักสีเขียว 7 ข้อนี้ แค่คุณตระหนัก…สีเขียวก็เริ่มเกิดขึ้นในใจคุณแล้ว

เครดิตภาพ: https://pixabay.com/photos/jungle-pathway-steps-way-sunlight-1807476/

ตามเทรนท่องเที่ยวไทยใส่ใจสิ่งแวดล้อม ไปเที่ยวไหนอย่าลืมถือคติ “ลดโลกเลอะ” นะทุกคน

เรื่องสิ่งแวดล้อมและการจัดการขยะนี่มันเป็นวาระแห่งชาติไปแล้วนะ รู้ไหม ว่าประเทศไทยอยู่ในอันดับต้นๆ ของโลกที่กำลังประสบปัญหาเรื่องขยะ ก็ดูสิ เราน่ะ..ผลิตขยะกันทุกวัน มีขยะแล้วทิ้งลงถังถูกต้องจะถูกนำไปกำจัดตามวิธี และถ้าทิ้งไปทั่ว ขยะนั่นก็จะวางกองอยู่แบบนั้น กลายเป็นความสกปรกเลอะเทอะ แต่สิ่งที่อยากให้รู้อีกอย่างหนึ่งคือ ขยะที่เกิดขึ้นมากมายมหาศาลในแต่ละวัน (โดยเฉพาะกล่องโฟมบรรจุอาหารและถุงพลาสติกเนี่ย มันเยอะจริงๆ นะ และที่กำลังมาแรงมากคือพวกแก้วพลาสติกและหลอดพลาสติก มันเยอะมากเลยนะพวกคุณ) มันมีเยอะมากเลยที่หลุดรอดระบบเก็บรวมรวมของเทศบาลต่างๆ ไหลลงสู่แม่น้ำ อุดตันท่อระบายน้ำ ไหลลงไปในทะเล ปลาวาฬกินขยะเพราะนึกว่าเป็นอาหาร ไอ้หลอดพลาสติกทั้งหลายติดอยู่ในจมูกเต่า ขยะอีกมากมายถูกน้ำทะเลพัดพาจากกรุงเทพ ซัดไปเกยที่หาดภูเก็ต และนี่คือปัญหาสิ่งแวดล้อมที่เกิดขึ้นจากมือเรา เพราะฉะนั้นเราจะอยู่เฉยไม่ได้แล้ว

การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย กับปฏิญญา ‘เที่ยวไทยเท่ ไม่สร้างขยะ ลดโลกเลอะ’

การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย หรือ ททท. สร้างกระแสใส่ใจสิ่งแวดล้อม ด้วยการสร้างความร่วมมือกับเครือข่ายที่เกี่ยวข้อง เช่น สมาคมโรงแรมไทย สมาคมการค้าธุรกิจในแม่น้ำเจ้าพระยา ไอคอนสยาม รัฐวิสาหกิจหรือชุมชนท่องเที่ยวในพื้นที่ต่างๆ เทศบาลนครนนทบุรี เอ็กซ์พีเดียกรุ๊ป เป็นต้น โดยเครือข่ายเหล่านี้จะร่วมกันขับเคลื่อนกลยุทธลดขยะ ประชาสัมพันธ์และให้คำแนะนำนักท่องเที่ยวหรือผู้มารับบริการ มีกิจกรรมเพื่อส่งเสริมให้เกิดการลดขยะและรักษาสิ่งแวดล้อม โดยเบื้องต้นจะมีคำแนะนำในให้พลาสติกที่ใช้ครั้งเดียว (Single-use Plastics) การใช้ถุงผ้าแทนถุงพลาสติก ใช้ขวดน้ำพกพา กล่องข้าวพกพา ปฏิเสธหลอดพลาสติกหรือใช้หลอดที่ทำจากวัสดุธรรมชาติ เป็นต้น

ลดโลกเลอะกับเป๊ก ผลิคโชค

ต้องบอกว่าเกิดกระแสที่ดีมากเลย เมื่อการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยมีแคมเปญ “ลดโลกเลอะ กับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย” มีโฆษณาออกมาหลายตัว และได้ เป๊ก-ผลิตโชค อายนบุตร มาช่วยสร้างกระแสลดโลกเลอะ ซึ่งเฮียเป๊ก สามีสุดที่รักของนุชทั่วไทย ก็ชวนนุชปฏิบัติภาระกิจลดโลกเลอะ พร้อมกับโพสต์ในช่องทางที่เป๊กใช้ติดต่อพูดคุยกับแฟนคลับทั้ง 3 แอฟพลิเคชั่น (FacebookFanpage Twitter และ Instagram) พร้อมแฮชแทก #ลดโลกเลอะ และ #ลดโลกเลอะกับผลิต เท่านี้นุชว่าล้านคนก็ตื่นตัวและตระหนักเรื่องการลดขยะ เกิดกลุ่มแฟนคลับจิตอาสาเก็บขยะริมหาด กลุ่มเชิญชวนคัดแยกขยะ มีนุชมากมายหันมาใช้กระเป๋าผ้า ใช้กระบอกน้ำพกพา ไปซื้อข้าวก็เอากล่องไปเอง เนี่ย…น่ารักมากเลย

พวกเราชอบไปเที่ยวสถานที่สะอาดสบายตา อยากให้โลกสวยงามอยู่เสมอ เพราะฉะนั้นไปเที่ยวที่ไหนพยายามอย่าขนขยะไปด้วยจ้า หรือเลี่ยงไม่ได้ก็ขอให้เรามีส่วนในการผลิตขยะน้อยที่สุดเท่าที่จะทำได้  เพราะแค่เก็บขยะลงถัง นั่นคือข้อปฏิบัติพื้นฐานที่เราควรทำ แต่ต่อไปนี้ต้องหยุดสร้างขยะด้วย จะได้เป็นคนไทยเท่ห์..คนไทยยุคใส่ใจสิ่งแวดล้อมจ้า

เครดิตภาพ: https://pixabay.com/photos/garbage-waste-container-waste-2729608/  

นี่พวกคุณ ประเทศไทยก็มีตู้ล็อคเกอร์ฝากของอัตโนมัติแล้วนะ

เวลาเราไปเที่ยวเมืองนอก จำได้ไหม ว่าเราเคยชอบใจมากเลยที่ตามสถานีรถไฟจะมีจุดรับฝากของ เป็นตู้ล็อคเกอร์อัตโนมัติเรียงรายให้เลือกทั้งตู้ใหญ่ตู้เล็ก ทีนี้เวลาเรารอรถเที่ยวต่อไปหรือรอเช็คอินเข้าที่พัก เหลือเวลานานๆ อยากออกไปเดินเล่นรอบเมือง หรือไปแวะช้อปปิ้งย่านดังในละแวกนั้น ก็ฝากตรงนี้เลย ไม่ต้องลากกระเป๋าหรือหิ้วของพะรุงพะรัง เป็นไง ชอบใช่ไหมล่ะแบบนี้ เลยจะมาบอกว่าประเทศไทยเองก็มีตู้ล็อคเกอร์ฝากของแบบนั้นแล้วนะ มีมาซักพักแล้วด้วย เอาล่ะ…มันหน้าตาเป็นยังไง ตั้งอยู่ตรงไหนบ้าง ไปดูกันเลย

หน้าตาเป็นยังไง ตั้งอยู่ตรงไหนบ้าง

Lock Box เป็นตู้รับฝากของระบบอัตโนมัติสีเหลือง คอนเซ็ปต์ของมันคือ Safe & Easy ประมาณว่าฝากของแล้วจะไปไหนก็ได้ ซึ่งไอ้ตู้สีเหลืองนี้จะตั้งอยู่ตามสถานีรถไฟฟ้าและรถไฟใต้ดิน เพื่อจะให้บริการนักเดินทางได้ฝากสัมภาระไว้ก่อน จะได้เดินตัวปลิวสบายสบาย เสร็จธุระเมื่อไหร่ค่อยมาเปิดล็อคเกอร์เอาของที่ฝากกลับบ้าน ก็เท่านั้นเอง ซึ่งตอนนี้มีจุดให้บริการตู้อัตโนมัตินี้อยู่ตามสถานี BTS และ MRT ถึง 14 สถานี ทั้งหมด 20 จุด ดังนี้

1. MRT กำแพงเพชร ทางออก 2 ไปตลาดนัดสวนจตุจักร

2. MRT กำแพงเพชร ทางออก 5 เจเจพลาซ่า

3. MRT สวนจตุจักร ทางออกที่ 1 ทางเชื่อมรถไฟฟ้า BTS หมอชิต

4. MRT สวนจตุจักร ทางออกที่ 3 ทางเชื่อมรถไฟฟ้า BTS หมอชิต

5. MRT พหลโยธิน สกายวอล์ค ทางเชื่อมเซ็นทรัลลาดพร้าวกับยูเนี่ยนมอล

6. MRT พหลโยธิน ทางออกที่ 5

7. MRT ลาดพร้าว ทางออกที่ 4 (อาคารที่จอดรถ)

8. MRT สุทธิสาร ทางออกที่ 3

9. MRT ห้วยขวาง ทางออกที่ 1

10. MRT ศูนย์วัฒนธรรม ทางออกที่ 3

11. MRT พระราม 9 ทางออกที่ 2 (เซ็นทรัลพระราม 9)

12. MRT เพชรบุรีทางออกที่ 1

13. Airport Rail Link มักกะสัน บริเวณจุดขายตั๋ว

14. MRT สุขุมวิท ทางออกที่ 1

15. MRT สุขุมวิท ทางออกที่ 2

16. MRT สุขุมวิท ทางออกที่ 3 เชื่อม BTS อโศก

17. MRT สีลม สกายวอล์ค เชื่อม BTS ศาลาแดง

18. MRT สีลม ทางออกที่ 2

19. MRT สามย่าน ทางออกที่ 1 (วัดหัวลำโพง)

20. MRT หัวลำโพง

อัตราค่าบริการ

ตู้มีหลายขนาดและมีอัตราค่าบริการไม่เท่ากัน นะ ราคาก็ตามนี้เลยจ้า

– Size S ราคา 20 บาท/ชั่วโมง หรือ 160 บาท/วัน

– Size M ราคา 30 บาท/ชั่วโมง หรือ 240 บาท/วัน

– Size L ราคา 40 บาท/ชั่วโมง หรือ 320 บาท/วัน

– Size XL ราคา 50 บาท/ชั่วโมง หรือ 400 บาท/วัน

การใช้งานน่ะเหรอ มันใช้ง่ายมากเลยนะ แค่เลือกตู้ล็อคเกอร์ให้เหมาะกับขนาดกระเป๋าหรือสัมภาระที่ต้องการฝาก จำหมายเลขล็อคเกอร์ที่เราเล็งไว้ จากนั้นก็ไปตรงตู้ที่มีจอเพื่อซื้อชั่วโมง หน้าจอจะแสดงแผนผังตู้ล็อคเกอร์มาให้ เราก็กดเลือกตู้ที่เราเล็งไว้ จากนั้นมันจะให้เลือกจำนวนชั่วโมงที่จะฝากของ (เราก็เลือกตามที่ต้องการ แต่ต้องกะเวลาให้ดีนะเพราะเอาของออกได้ครั้งเดียว) เมื่อเรากดยืนยัน มันจะให้เราตั้งพาสเวิร์ส 4 หลัก จากนั้นจะมีสรุปยอดที่ต้องจ่ายแสดงบนจอ หยอดเหรียญตามจำนวนเงินที่มันแจ้งมา แล้วรอรับใบเสร็จ และประตูล็อคเกอร์ที่เราเลือกก็จะเปิดรอให้เอาของไปฝากได้เลยจ้า ตอนกลับมาเอาของออก ก็ใส่พาสเวิร์สและกดตามขั้นตอนรอประตูตู้เปิดก็เอาของออกมาอย่างสบายใจเลย

และนี่ก็คือมิติใหม่แห่งการฝากสัมภาระ ไม่ต้องไปขอฝากใคร ไม่ต้องกังวลว่าของจะหายด้วย สามารถเข้าไปดูรายละเอียดเพิ่มเติมที่เว็บไซต์และแฟนเพจของ lockbox www.lockbox-th.com

เครดิตภาพ: https://web.facebook.com/LockBoxTH/photos/a.677880555687578/965803723561925/?type=3&theater