มาตั้งเป้าหมายการเดินท่องเที่ยวปี 2020 กันเถอะ

เดี๋ยวนี้สายเที่ยวเขาตั้งเป้ากันยาวๆ จะได้มีเวลาเก็บเงินและมีเวลาวางแพลนการเดินทางและการหาที่พัก คาดว่าโซนยุโรป โดยเฉพาะบรรดาเมืองขึ้นชื่อทั้งหลาย หลายคนไปมาบ้างแล้ว บางคนอาจไปหลายครั้งจนอาจจะเบื่อแล้วก็ได้ เพราะฉะนั้นจุดหมายปลายทางการท่องเที่ยวต่างประเทศในช่วงปีหลังๆ มานี้ เราจึงเริ่มเห็นว่าเราไปเที่ยวในสถานที่ที่มันทรหศมากขึ้นและเดินทางลำบากกว่าเมืองโรแมนติกที่คุ้นเคยหลายเท่านัก และนี่คือ 4 จุดหมาย ที่อยากไปให้ได้ในเร็วๆ นี้

Everest Base Camp ประเทศเนปาล

                เห็นเขาไป Trekking ที่เนปาลแล้วก็อยากไปบ้าง เห็นเขาว่ากันว่าเป็นการเดินเท้าไปถึง base camp ที่ความสูงประมาณ 5,000 เมตร (ซึ่งยอดเขาเอเวอเรสต์สูง 8,800 เมตร) ระหว่างทางวิวสวยมากและยังจะได้สัมผัสวิถีชาวภูเขาด้วย ฟังแบบนี้แล้วกระตุ้นความอยากไปมากๆ เลย ซึ่งการจะไปแบบนี้ต้องเตรียมตัวอย่างดี เตรียมร่างกายให้แข็งแรง เตรียมเสื้อผ้าข้าวของเครื่องใช้ที่จำเป็น เนี่ย…มันต้องไปซักครั้งให้ได้

Rush Lake Trek ประเทศปากีสถาน

                คนรู้จักไปมา เห็นภาพแล้วมันดีงามมากเลย นอกจากการเดิน trekking แบบลุยๆ ที่เราชอบแล้ว ภูมิประเทศที่ปรากฎมันสวยมาก เขาบอกว่าต้องเดินตามเส้นทางที่ข้ามธารน้ำแข็งขนาดใหญ่ Hopper Glacier ต่อด้วย Barpu Glacier, Black Glacier, White Glacier มันมีทั้งความแห้งแล้ง ความหนาวเย็น และความเขียวขจีสวยงามที่ซ่อนอยู่ เหมือนความรู้สึกเวลาเราได้ยินคำว่าปากีสถานนั่นแหล่ะ มันฟังดูอันตรายนะ แต่ในความอันตรายมันก็มี Rush Lake Trek ซ่อนอยู่

อิตตอกกอร์ตูมีต กรีนแลนด์

                เพราะนึกถึงความรู้สึกเป็นอิสระและการปลดปล่อยความเป็นตัวเอง ในหนังเรื่อง The Secret Life of Walter Mitty และวิวในฉากนั้นรวมถึงวิว landscape เจ๋งๆ ในเรื่องก็ติดตาตรึงใจมาตลอด กรีนแลนด์จึงเป็นตัวแทนของสถานที่แห่งนั้นที่เราอยากจะไปสัมผัสซักครั้ง โดยเมืองจุดหมายที่จะไปคืออิตตอกกอร์ตูมีต (Ittoqqortoormiit) หมู่บ้านชาวประมงที่สงบเงียบ เขาว่ากันว่าสามารถมองเห็นแสงเหนือได้จากหน้าต่างที่พักด้วยนะ และธรรมชาติของที่นั่นก็อัศจรรย์มาก ความจริงถ้าไปถึงกรีนแลนด์ไม่ได้ จะตั้งเป้าให้ตัวเองไปแค่นอร์เวย์ สวีเดน หรือไอซ์แลนด์ก็พอแล้ว แต่จะไปทั้งทีมันต้องไปที่ที่อยากไปที่สุดก่อนดิ ว่าไหม!

Amsterdam ประเทศเนเธอร์แลนด์

                ท้ายสุดแล้วจะไปไหน ก็ต้องย้อนกลับมาดูเงินในกระเป๋าด้วยจ้า อีกหนึ่งจุดหมายที่คงไม่ได้โหดและแพงเท่า 3 จุดหมายด้านบน และก็อยู่ในลิสต์รายชื่อเมืองที่อยากไปมานานแล้วก็คืออัมสเตอดัมนั่นเอง เป็นเมืองรักโลกรักสิ่งแวดล้อม เมืองจักรยาน คลองสวย ผู้คนรักโลกและรักสุขภาพ สองสามปีที่ผ่านมาการเดินทางท่องเที่ยวยุโรปที่วางแผนไม่ค่อยดี ทำให้พลาดเมืองนี้ทุกครั้ง ถ้าได้ไปกะว่าจะปักหลักที่นี่ซักสองสามวัน ปั่นจักรยานซักหนึ่งวัน เดินชมดอกไม้จิบกาแฟซักหนึ่งวัน และก็ช้อปปิ้งซักหนึ่งวัน ฟังดูเหมือนชีวิตดีจัง ถ้าจะทำได้แบบนั้น ก็ต้องขยันทำงานมากขึ้นเยอะเลยนะ

                สถานที่ที่เลือกมามีทั้งโหดมาก โหดน้อย ซึ่งถ้าเลือกแล้วว่าจะไปต้องเริ่มวางแผนและเตรียมตัวกันยาวๆ เลยล่ะ และนี่ก็คือเป้าหมายสำหรับ Next Trip ของพวกเรา เป็นการกำหนดเส้นทางใหม่ๆ สถานที่ใหม่ๆ…เพราะชีวิตคือการเดินทาง อยากรู้ว่าเป็นยังไง เราต้องไปค้นหาเองนะ

เครดิตภาพ: https://pixabay.com/photos/tasiilaq-greenland-east-greenland-892503/ 

One Day Trip นั่งเรือเรื่อยเปื่อยจาก Lausanne ไปโผล่ Montreux

เหตุการณ์นี้จะเกิดขึ้นเมื่อคุณเดินชมเมืองชมโบสถ์ อาคารบ้านเรือน และช้อปปิ้งในโลซานน์อย่างหนำใจแล้ว นึกขึ้นได้ว่าน่าจะนั่งเรือชมทะเลสาบซักหน่อย และท่าเรือก็อยู่ใกล้สถานีรถไฟนี่เอง นั่งเมโทรไปแปปเดียวก็ถึง นั่นแหล่ะคือที่มาของการนั่งเรือเรื่อยเปื่อยกินเวลาครึ่งค่อนวัน

                Montreux (มองเทรอซ์) จุดหมายปลายทางที่เราจะไปนั้นเป็นเมืองตากอากาศของสวิตเซอร์แลนด์ ตั้งอยู่บนรายฝั่งของทะเลสาบเจนีวา เคยเป็นทางผ่านของถนนสมัยโรมัน ที่ใช้เดินทางจากอิตาลีสู่นครอเวนติกัม (Aventicum) เมื่องหลวงของโรมัน คนที่นี่ส่วนใหญ่จะทำงานหรือธุรกิจเกี่ยวกับการจำหน่ายเครื่องยนต์ การขนส่งสินค้า โรงแรมและร้านอาหาร และมีบางส่วนที่ทำโรงงานอุตสาหกรรมและการก่อสร้าง และมีส่วนน้อยที่ทำเกษตรกรรม ผลิตภัณฑ์ไม้ และการประมง เพราะฉะนั้นในเมืองในนี้ก็จะเห็นอาคารและสิ่งก่อสร้างที่ทันสมัย อาคารโรงแรมและอพาร์ทเม้นท์มีให้เลือกมากมาย รูปทรงล้ำสมัยและแปลกตาดี ความจริงสามารถนั่งรถไฟจากโลซานมามองเทรอซ์เลยก็ได้ ใช้เวลาไม่ถึงครึ่งชั่วโมง แต่เราตั้งใจไว้แล้วว่าจะนั่งเรือนี่เนอะ เพราะงั้นพอออกจากเมโทรก็เดินลิ่วๆ มาท่าเรือเลยจ้า สามารถใช้ SWISS PASS ขึ้นเรือได้เลย ก่อนขึ้นเรือเจ้าหน้าที่บอกว่าเป็นเรือไปที่ไหน รอบเวลาเท่าไหร่ จากนั้นก็จะให้เข้าแถวเดินขึ้นเรือ เราก็เดินตามลุงป้าไป เจอคนไทยเยอะแยะ (ต้องยอมรับว่าคนไทยเที่ยวสวิสเยอะมาก) บนเรือจะมีที่นั่งแบบธรรมดา กับแบบวีไอพีนะ จะบอกว่ามีคนแถวนี้หลงไปนั่งโซนวีไอพี ทั้งที่ตัวเองถือตั๋วธรรมดา นั่งชมทะเลสาบไปพลางคิดว่า เอ…ทำไมได้ที่นั่งดีจัง ลมเย็นสบาย เห็นวิวเกือบจะสามร้อยหกสิบองศา รอบข้างส่วนใหญ่เป็นคุณตาคุณยายมาแบบเป็นคู่ ที่ไหนได้เจ้าหน้าที่มาแจ้งว่า “คุณกำลังนั่งโซนวีไอพีนะฮะ กรุณาย้ายไปนั่งชั้นล่างด้วย” หน้าแห้งเลย ฮ่าๆ 

                เอาล่ะ ลงมาชั้นล่างแล้ว เจอเพื่อนๆ หลากหลายวัยเยอะดี ไม่เกร็งเหมือนนั่งชั้นบนแฮะ พอเจอวิวสวยๆ พวกเขาจะส่งเสียงฮือฮา เรามองไปบนฝั่งเห็นบ้านเรือนริมทะเลสาบแล้วรู้สึกอิจฉาพวกเขาจังเลยที่ได้อยู่ในประเทศที่สวยขนาดนี้ ถัดจากชุมชนเราจะเห็นไร่องุ่นประปราย เรือจะจอดทุกท่าเราก็จะมีเพื่อนใหม่ขึ้นเรือมาเรื่อยๆ ซักพักจะเห็นปราสาทกลางน้ำ และเรือก็จอดเทียบท่าที่มองเทรอซ์ในที่สุด เย้! จริงๆ กะแค่เดินเล่นในเมืองเลยไม่ได้ไปแลนด์มาร์คใดๆ (ถ้าคนมีเวลามากพอแนะนำให้ไปปราสาทชิลยอง และไร่องุ่นมรดกโลกที่เมืองลาโวซ์ นั่งรสบัสไปได้ไม่ไกล) และรู้ตัวอีกทีก็พบว่าตัวเองติดแหงกอยู่ที่ตลาดเล็กๆ น่ารักริมทะเสสาบ ใกล้ๆ ท่าเรือนั่นแหล่ะ เป็นตลาดที่คนมาขายของท้องถิ่น ของแฮนด์เมคน่ารักมากมาย เดินชมเพลินจนล่วงเลยเวลา

                และแล้วทริปนั่งเรือไป Montreux ก็จบลงด้วยดี ส่วนใหญ่นักท่องเที่ยวจะเดินทางจากมองเทรอซ์ต่อไป Interlaken หรือไม่ก็ไป Zermatt เมืองในหุบเขายอดนิยมของนักท่องเที่ยวชาวไทย (ถึงขนาดมีป้ายแจ้งข้อมูลเป็นภาษาไทยในสถานีรถไฟ และร้านอาหารบางร้านมีเมนูอาหารภาษาไทยด้วย) ถ้ามีโอกาสจะมารีวิวทริป Zermatt นะฮะทุกคน

เครดิตภาพ: https://pixabay.com/photos/lake-mountains-landscape-montreux-3918137/

เดินทางท่องเที่ยวตามรอย “ชายร้อยปีผู้ปีนออกจากหน้าต่างแล้วหายตัวไป”

ถ้าใครเคยอ่านหนังสือเรื่อง “100 year old man who climbed out the window and disappeared” หรือ “ชายร้อยปีผู้ปีนออกทางหน้าต่างแล้วหายตัวไป” ของนักเขียนสวีเดน “Jonas Jonasson” คงจำได้ว่าชายร้อยปีสุดซ่าหรือคุณปู่อัลลัน คาร์ลสันนั้นได้เดินทางรอบโลกมาแล้ว บทความนี้จึงอยากเสนอไอเดียการเดินทางตามรอยชายชราอายุ 100 ปี เอาให้โหด มัน ฮา อย่ายอมน้อยหน้าคนแก่นะพวกคุณ

1. Malmkoping ประเทศสวีเดิน เป็นบ้านเกิดและเป็นจุดเริ่มต้นการเดินทางของอัลลัน คาร์ลสัน (ถ้าใครจำได้ คุณปู่หนีออกจากบ้านพักคนชราที่มัลม์โคปิง แล้วนั่งรถบัสไปลงสถานีบีริงก์) Malmkoping เป็นเมืองเล็กๆ ตั้งอยู่ในมณฑล Sodermanland เมืองเล็กมาก รอบเมืองเป็นทุ่งหญ้าและป่าไม้ ในเมืองมีพิพิธภัณฑ์รถแทรม (Tramway Museum Malmkoping) มีร้านขายของชำร้านขาย ร้านพิซซ่า และร้านเบเกอรี่ด้วยนะ ถ้าอยู่สตอกโฮล์มสามารถนั่งรถไฟต่อรถบัสมามัลม์โคปิ้งใช้เวลาประมาณสองชั่วโมงเอง

2. สะพานในประเทศสเปน ถ้าย้อนกลับไปสมัยอัลลันเป็นหนุ่ม ในช่วงที่เขาทำงานโรงงานได้เจอกับเพื่อนสเปนที่เป็นนักปฏิวัติฝันเฟื่อง ซึ่งอัลลันเดินทางตามเพื่อนมาสเปนเพื่อระเบิดสะพานในช่วงสงครามโลก เพราะงั้นถ้าใครมีโอกาสไปเที่ยวสเปน เราจะขอแนะนำให้ตามเก็บภาพสะพานทุกที่ที่คุณเจอเลย แล้วตั้งชื่อคอลเลคชั่นนี้ว่า “ภารกิจพิชิตสะพานกับชายร้อยปี” หรือจะตั้งชื่อใหม่ที่เข้ากับคุณก็ได้นะ สะพานสวยๆ ในสเปนก็อย่างเช่น สะพานส่งน้ำสมัยโรมันที่เซโกเวีย, สะพานเล็กสะพานน้อยอันเก่าแก่ที่เมืองบิลบาโอบิลเบา, Sant Bartomeu สะพานข้ามแม่น้ำที่เมือง Catalonia, Alcántara สะพานโรมันในเมือง Extremadura, Vizcaya สะพานขนส่งเชื่อมเมือง Portugalete และ Las Arenas เป็นต้น

3. แมนฮัตตัน ประเทศสหรัฐอเมริกา พอออกจากสเปนได้เพราะช่วยชีวิตนายทหารระดับสูง (โดยไม่ได้ตั้งใจซักนิด) อัลลันได้ใบผ่านทางเดินทางไปที่อื่น เขาไปอเมริกาและทำงานก่อสร้าง แต่พอได้ยินว่ามีโปรเจคแมนฮัตตันที่ทำเกี่ยวกับระเบิด เขาก็รีบไปสมัครทันที เลยจะมาชวนไปเที่ยวแมนฮัตตัน อีกฝั่งหนึ่งของมหานครนิวยอร์คนั่นเอง ที่นี่มีอะไรน่าสนใจน่ะเหรอ มีสะพานบรู๊คลิน (ที่เราได้เห็นในหนังบ่อยมาก) Central Park (สวนสาธารณะอันกว้างใหญ่ที่เป็นปอดของคนนิวยอร์ค) และยังสามารถไปเที่ยวย่านอื่นๆ ชื่อดังในนิวยอร์คอีกมากมาย

4. สตอกโฮล์ม ประเทศสวีเดิน หลังจากทำภาระกิจสำคัญคือการมีส่วนร่วมคิดค้นระเบิดปรมาณูและได้กลายเป็นเพื่อนกับประธาธิบดีสหรัฐอเมริกาแล้ว อัลลันได้เดินทางกลับมายังสตอกโฮล์ม คนไปเที่ยวสตอกโฮล์มนั้นนิยมเดินเล่น ผ่านย่านเมืองเก่า Old Town ชมท่าเรือ โบสถ์ วัง จะหยุดพักจิบกาแฟซักหน่อยเพราะมีร้านน่ารักริมทางมากมาย ก่อนจะเดินเข้าไปยังกลางเมืองที่เป็นย่านช้อปปิ้ง เป็นเมืองที่สวย ทันสมัย และมีความขลังอยู่ในตัวเอง

5. มอสโคว์ ประเทศรัสเซีย อัลลันมาถึงสตอกโฮล์มไม่ทันข้ามคืนก็มีสายลับรัสเซียพาเขาขึ้นเรือดำน้ำ ไปยังรัสเซียซะแล้ว ไปถึงมอสโคว์ก็ได้พบกับบุคคลสำคัญของโลกอย่างสตาลินอีกต่างหาก เพราะงั้นเลยอยากจะแนะนำที่เที่ยวมอสโคว์อีกซักเมือง ที่นี่มีแลนด์มาร์คที่ต้องไปคือ จัตุรัสแดง, มหาวิหารเซนต์เบซิล, พระราชวังเครมลิน และอีกมากมาย เดินทางในเมืองโดยรถไฟสะดวกนะเออ คนไทยเริ่มไปเที่ยวเยอะเพราะตั๋วเครื่องบินไม่แพงนัก เสน่ห์ของที่นี่คงจะเป็นอากาศที่หนาวมาก การสื่อสารกับคนในท้องถิ่นที่เขาว่ายากกว่าทุกที่ (ซึ่งมันท้าทายดีนะ) ภาพลักษณ์ที่เราเคยได้ยินจนชินชากับคำว่ารัสเซีย ทำให้อยากออกไปสัมผัสด้วยตัวเองว่าที่จริงแล้วมันเป็นยังไง

ขอจบการตามรอยอัลลัน คาร์ลสันเพียงเท่านี้ (ความจริงการเดินทางของเขายังมีอีกเยอะ กว่าจะครบ 100 ปี) หวังว่าบทความนี้จะก่อกลุ่มก้อนบางเบาที่เรียกว่าแรงบันดาลใจให้คุณได้บ้าง ลองสะสมมันให้เป็นกลุ่มก้อนหนักหนาขึ้นเรื่อยๆ สิ แล้วออกไปเดินทางรอบโลกกัน

เครดิตภาพ: http://readery.co/publishers/gammemagie/9786167591735

นี่พวกคุณ ประเทศไทยก็มีตู้ล็อคเกอร์ฝากของอัตโนมัติแล้วนะ

เวลาเราไปเที่ยวเมืองนอก จำได้ไหม ว่าเราเคยชอบใจมากเลยที่ตามสถานีรถไฟจะมีจุดรับฝากของ เป็นตู้ล็อคเกอร์อัตโนมัติเรียงรายให้เลือกทั้งตู้ใหญ่ตู้เล็ก ทีนี้เวลาเรารอรถเที่ยวต่อไปหรือรอเช็คอินเข้าที่พัก เหลือเวลานานๆ อยากออกไปเดินเล่นรอบเมือง หรือไปแวะช้อปปิ้งย่านดังในละแวกนั้น ก็ฝากตรงนี้เลย ไม่ต้องลากกระเป๋าหรือหิ้วของพะรุงพะรัง เป็นไง ชอบใช่ไหมล่ะแบบนี้ เลยจะมาบอกว่าประเทศไทยเองก็มีตู้ล็อคเกอร์ฝากของแบบนั้นแล้วนะ มีมาซักพักแล้วด้วย เอาล่ะ…มันหน้าตาเป็นยังไง ตั้งอยู่ตรงไหนบ้าง ไปดูกันเลย

หน้าตาเป็นยังไง ตั้งอยู่ตรงไหนบ้าง

Lock Box เป็นตู้รับฝากของระบบอัตโนมัติสีเหลือง คอนเซ็ปต์ของมันคือ Safe & Easy ประมาณว่าฝากของแล้วจะไปไหนก็ได้ ซึ่งไอ้ตู้สีเหลืองนี้จะตั้งอยู่ตามสถานีรถไฟฟ้าและรถไฟใต้ดิน เพื่อจะให้บริการนักเดินทางได้ฝากสัมภาระไว้ก่อน จะได้เดินตัวปลิวสบายสบาย เสร็จธุระเมื่อไหร่ค่อยมาเปิดล็อคเกอร์เอาของที่ฝากกลับบ้าน ก็เท่านั้นเอง ซึ่งตอนนี้มีจุดให้บริการตู้อัตโนมัตินี้อยู่ตามสถานี BTS และ MRT ถึง 14 สถานี ทั้งหมด 20 จุด ดังนี้

1. MRT กำแพงเพชร ทางออก 2 ไปตลาดนัดสวนจตุจักร

2. MRT กำแพงเพชร ทางออก 5 เจเจพลาซ่า

3. MRT สวนจตุจักร ทางออกที่ 1 ทางเชื่อมรถไฟฟ้า BTS หมอชิต

4. MRT สวนจตุจักร ทางออกที่ 3 ทางเชื่อมรถไฟฟ้า BTS หมอชิต

5. MRT พหลโยธิน สกายวอล์ค ทางเชื่อมเซ็นทรัลลาดพร้าวกับยูเนี่ยนมอล

6. MRT พหลโยธิน ทางออกที่ 5

7. MRT ลาดพร้าว ทางออกที่ 4 (อาคารที่จอดรถ)

8. MRT สุทธิสาร ทางออกที่ 3

9. MRT ห้วยขวาง ทางออกที่ 1

10. MRT ศูนย์วัฒนธรรม ทางออกที่ 3

11. MRT พระราม 9 ทางออกที่ 2 (เซ็นทรัลพระราม 9)

12. MRT เพชรบุรีทางออกที่ 1

13. Airport Rail Link มักกะสัน บริเวณจุดขายตั๋ว

14. MRT สุขุมวิท ทางออกที่ 1

15. MRT สุขุมวิท ทางออกที่ 2

16. MRT สุขุมวิท ทางออกที่ 3 เชื่อม BTS อโศก

17. MRT สีลม สกายวอล์ค เชื่อม BTS ศาลาแดง

18. MRT สีลม ทางออกที่ 2

19. MRT สามย่าน ทางออกที่ 1 (วัดหัวลำโพง)

20. MRT หัวลำโพง

อัตราค่าบริการ

ตู้มีหลายขนาดและมีอัตราค่าบริการไม่เท่ากัน นะ ราคาก็ตามนี้เลยจ้า

– Size S ราคา 20 บาท/ชั่วโมง หรือ 160 บาท/วัน

– Size M ราคา 30 บาท/ชั่วโมง หรือ 240 บาท/วัน

– Size L ราคา 40 บาท/ชั่วโมง หรือ 320 บาท/วัน

– Size XL ราคา 50 บาท/ชั่วโมง หรือ 400 บาท/วัน

การใช้งานน่ะเหรอ มันใช้ง่ายมากเลยนะ แค่เลือกตู้ล็อคเกอร์ให้เหมาะกับขนาดกระเป๋าหรือสัมภาระที่ต้องการฝาก จำหมายเลขล็อคเกอร์ที่เราเล็งไว้ จากนั้นก็ไปตรงตู้ที่มีจอเพื่อซื้อชั่วโมง หน้าจอจะแสดงแผนผังตู้ล็อคเกอร์มาให้ เราก็กดเลือกตู้ที่เราเล็งไว้ จากนั้นมันจะให้เลือกจำนวนชั่วโมงที่จะฝากของ (เราก็เลือกตามที่ต้องการ แต่ต้องกะเวลาให้ดีนะเพราะเอาของออกได้ครั้งเดียว) เมื่อเรากดยืนยัน มันจะให้เราตั้งพาสเวิร์ส 4 หลัก จากนั้นจะมีสรุปยอดที่ต้องจ่ายแสดงบนจอ หยอดเหรียญตามจำนวนเงินที่มันแจ้งมา แล้วรอรับใบเสร็จ และประตูล็อคเกอร์ที่เราเลือกก็จะเปิดรอให้เอาของไปฝากได้เลยจ้า ตอนกลับมาเอาของออก ก็ใส่พาสเวิร์สและกดตามขั้นตอนรอประตูตู้เปิดก็เอาของออกมาอย่างสบายใจเลย

และนี่ก็คือมิติใหม่แห่งการฝากสัมภาระ ไม่ต้องไปขอฝากใคร ไม่ต้องกังวลว่าของจะหายด้วย สามารถเข้าไปดูรายละเอียดเพิ่มเติมที่เว็บไซต์และแฟนเพจของ lockbox www.lockbox-th.com

เครดิตภาพ: https://web.facebook.com/LockBoxTH/photos/a.677880555687578/965803723561925/?type=3&theater

เชียงใหม่ ไปกี่ครั้ง ก็ไม่เบื่อ

การไปเชียงใหม่ครั้งแรกนั้น…มันนานมาแล้ว นานจนจำความรู้สึกครั้งนั้นไม่ได้ เป็นการไปทัศนศึกษาโดยจุดหมายปลายทางที่ทุกคนตั้งตารอที่จะไปให้ถึงคือ งานพืชสวนโลก เป็นสถานที่ที่เต็มไปด้วยพรรณไม้แปลกตาจากทุกมุมโลก มีจุดจำลองศิลปะวัฒนธรรมที่เราไม่เคยเห็น มีนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติเดินขวักไขว่วุ่นวายเต็มไปหมด ใครก็ว่าเชียงใหม่เมื่อสิบกว่าปีที่แล้วมีมนต์ขลังและน่าประทับใจกว่าทุกวันนี้หลายเท่านัก แต่อาจเป็นเพราะตอนนั้นเรายังเด็กเลยไม่ได้สนใจสิ่งรอบตัวเท่าไหร่นัก กระแสการเสพความชิล ความชิคที่เป็นแฟชั่นของหนุ่มสาวสมัยนี้น่ะเหรอ ลืมไปเลย ตอนนั้นเราไม่อินกับอะไรแบบนี้ซักนิด

เวลาผ่านมา เราทำความรู้จักกับเชียงใหม่ในอีกมุมหนึ่ง เพราะสื่อและโซเชียลเน็ตเวิร์กทำให้เราได้ข้อมูลเพิ่มเติมมากขึ้น เรากลับไปฟื้นความทรงจำสมัยเรียนว่าเชียงใหม่คือ “อาณาจักรล้านนา” ที่ปกครองโดยราชวงศ์มังราย และหากใครยังจำเรื่อง ผู้ชนะสิบทิศในบทเรียนภาษาไทยสมัยมัธยมล่ะก็ จะบอกว่าพระเอกเรื่องนี้คือพระเจ้าบุเรงนอง กษัตริย์พม่าที่ยกทัพมายึดเมืองเชียงใหม่โดยใช้เวลาเพียง 3 วัน นอกจากเรื่องประวัติศาสตร์ เชียงใหม่ยังถูกกล่าวถึงว่าเป็นที่ตั้งของภูเขาที่สูงที่สุดในประเทศไทย เป็นจังหวัดที่มีโครงการหลวงกระจายอยู่เต็มไปหมด ถูกยกขึ้นมาเป็นสถานที่อ้างอิงในนิยายและละครโทรทัศน์เรื่องดังหลายเรื่อง มีร้านอาหารและร้านกาแฟชิล ๆ ชิค ๆ ซ่อนตัวอยู่ในมุมทั่วเมือง ฉากสุดโรแมนติกชวนฝันเมื่ออากาศหนาวเย็นกำลังดีและท้องฟ้าก็เต็มไปด้วยแสงไฟจากโคมที่หนุ่มสาวได้ปล่อยขึ้นสู่ฟ้าในคืนวันลอยกระทง

เมื่อเราได้มาเชียงใหม่เป็นครั้งที่สอง…มันกลับให้ความรู้สึกเหมือน นี่คือการมาเชียงใหม่ครั้งแรก (เฮ้ย! นี่มัน My First Time Again!!!) ถึงแม้จะมีความเป็นเมืองท่องเที่ยวเพราะเต็มไปด้วยชาวต่างชาติ ทั้งยุโรป อเมริกา ตะวันออกกลาง เอเชีย (โดยเฉพาะจีน เกาหลี) และแม้จะรถติดเหมือนกรุงเทพฯ แต่มันมีอะไรบางอย่างที่ให้ความรู้สึกแตกต่าง เหมาะกับการมาใช้เวลาขลุกอยู่ที่นี่ซักเดือนละสองสามวัน มีสถานที่ให้ไปสิงสถิตเยอะแยะเลย ทั้งสายบุญ สายชมเมือง สายท่องราตรี สายธรรมชาติป่าเขาลำเนาไพร และสายสโลว์ไลฟ์ที่เป็นแฟชั่นมาแรงในหมู่หนุ่มสาวอินดี้ทั้งหลาย

ในเมื่อเชียงใหม่ที่เที่ยวเยอะขนาดนี้ มาครั้งเดียวไม่พอหรอก เราวางแผนมาเชียงใหม่ในเวลาถัดมาไม่นานนัก เราใช้เวลาครึ่งวันเดินชมวัดและพิพิธภัณฑ์ในเมือง จากนั้นก็ไปบุกร้านกาแฟ ดื่มดำรสชาติกาแฟ เค้ก และขนมหวานในร้านดังที่ใครต่างก็แนะนำ ตกค่ำเราเดินถนนคนเดินช้อปปิ้งสินค้าท้องถิ่นและของกินพื้นเมือง และเนื่องจากเราชื่นชอบช่วงเวลาที่ได้ขลุกตัวอยู่ที่ไหนซักที่ เราจึงเลือกร้านกาแฟแนวล้านนาที่มีทั้งโซนห้องแอร์และโซน open air สั่งกาแฟและอ่านหนังสือเล่มโปรดจนถึงเย็น

ครั้งต่อมาเราเลือกจะเที่ยวแนวธรรมชาติ เลยจองที่พักโครงการหลวงดอยอินทนนท์ไป และเลือกใช้บริการรถแดงและ   รถเหลืองของเมืองเชียงใหม่ พอถึงโครงการหลวงก็ได้เดินชมดอกไม้ใบหญ้าทั้งวัน ที่พักเงียบสงบ บรรกาศดีมาก พอตื่นเช้าก็ได้กินอาหารเช้าที่ทำจากผลผลิตโครงการหลวงที่สด ใหม่ อร่อยสุด ๆ ติดใจเที่ยวสายธรรมชาติจนต้องจัดทริปเชียงใหม่อีกหลายครั้ง

เราเดินทางไปแต่ละครั้ง แต่ละที่ ไม่เหมือนกันเลย ตอนนี้เชียงใหม่กลายเป็นจังหวัดที่เราไปบ่อยที่สุดรองจากจังหวัดบ้านเกิดตัวเอง และก็ยังมีที่ที่ยังไม่ได้ไปและอยากไปอีกเยอะเลยล่ะ ทั้งอ่างขาง สะเมิง เชียงดาว และยังคิดว่าถ้ามีเวลาว่าง ๆ จะหาวันไปเดินสำรวจแถววัดอุโมงค์ และตระเวนกินอาหารเมืองร้านอร่อยให้ครบทุกร้านเลย