เดินทางท่องเที่ยวตามรอย “ชายร้อยปีผู้ปีนออกจากหน้าต่างแล้วหายตัวไป”

ถ้าใครเคยอ่านหนังสือเรื่อง “100 year old man who climbed out the window and disappeared” หรือ “ชายร้อยปีผู้ปีนออกทางหน้าต่างแล้วหายตัวไป” ของนักเขียนสวีเดน “Jonas Jonasson” คงจำได้ว่าชายร้อยปีสุดซ่าหรือคุณปู่อัลลัน คาร์ลสันนั้นได้เดินทางรอบโลกมาแล้ว บทความนี้จึงอยากเสนอไอเดียการเดินทางตามรอยชายชราอายุ 100 ปี เอาให้โหด มัน ฮา อย่ายอมน้อยหน้าคนแก่นะพวกคุณ

1. Malmkoping ประเทศสวีเดิน เป็นบ้านเกิดและเป็นจุดเริ่มต้นการเดินทางของอัลลัน คาร์ลสัน (ถ้าใครจำได้ คุณปู่หนีออกจากบ้านพักคนชราที่มัลม์โคปิง แล้วนั่งรถบัสไปลงสถานีบีริงก์) Malmkoping เป็นเมืองเล็กๆ ตั้งอยู่ในมณฑล Sodermanland เมืองเล็กมาก รอบเมืองเป็นทุ่งหญ้าและป่าไม้ ในเมืองมีพิพิธภัณฑ์รถแทรม (Tramway Museum Malmkoping) มีร้านขายของชำร้านขาย ร้านพิซซ่า และร้านเบเกอรี่ด้วยนะ ถ้าอยู่สตอกโฮล์มสามารถนั่งรถไฟต่อรถบัสมามัลม์โคปิ้งใช้เวลาประมาณสองชั่วโมงเอง

2. สะพานในประเทศสเปน ถ้าย้อนกลับไปสมัยอัลลันเป็นหนุ่ม ในช่วงที่เขาทำงานโรงงานได้เจอกับเพื่อนสเปนที่เป็นนักปฏิวัติฝันเฟื่อง ซึ่งอัลลันเดินทางตามเพื่อนมาสเปนเพื่อระเบิดสะพานในช่วงสงครามโลก เพราะงั้นถ้าใครมีโอกาสไปเที่ยวสเปน เราจะขอแนะนำให้ตามเก็บภาพสะพานทุกที่ที่คุณเจอเลย แล้วตั้งชื่อคอลเลคชั่นนี้ว่า “ภารกิจพิชิตสะพานกับชายร้อยปี” หรือจะตั้งชื่อใหม่ที่เข้ากับคุณก็ได้นะ สะพานสวยๆ ในสเปนก็อย่างเช่น สะพานส่งน้ำสมัยโรมันที่เซโกเวีย, สะพานเล็กสะพานน้อยอันเก่าแก่ที่เมืองบิลบาโอบิลเบา, Sant Bartomeu สะพานข้ามแม่น้ำที่เมือง Catalonia, Alcántara สะพานโรมันในเมือง Extremadura, Vizcaya สะพานขนส่งเชื่อมเมือง Portugalete และ Las Arenas เป็นต้น

3. แมนฮัตตัน ประเทศสหรัฐอเมริกา พอออกจากสเปนได้เพราะช่วยชีวิตนายทหารระดับสูง (โดยไม่ได้ตั้งใจซักนิด) อัลลันได้ใบผ่านทางเดินทางไปที่อื่น เขาไปอเมริกาและทำงานก่อสร้าง แต่พอได้ยินว่ามีโปรเจคแมนฮัตตันที่ทำเกี่ยวกับระเบิด เขาก็รีบไปสมัครทันที เลยจะมาชวนไปเที่ยวแมนฮัตตัน อีกฝั่งหนึ่งของมหานครนิวยอร์คนั่นเอง ที่นี่มีอะไรน่าสนใจน่ะเหรอ มีสะพานบรู๊คลิน (ที่เราได้เห็นในหนังบ่อยมาก) Central Park (สวนสาธารณะอันกว้างใหญ่ที่เป็นปอดของคนนิวยอร์ค) และยังสามารถไปเที่ยวย่านอื่นๆ ชื่อดังในนิวยอร์คอีกมากมาย

4. สตอกโฮล์ม ประเทศสวีเดิน หลังจากทำภาระกิจสำคัญคือการมีส่วนร่วมคิดค้นระเบิดปรมาณูและได้กลายเป็นเพื่อนกับประธาธิบดีสหรัฐอเมริกาแล้ว อัลลันได้เดินทางกลับมายังสตอกโฮล์ม คนไปเที่ยวสตอกโฮล์มนั้นนิยมเดินเล่น ผ่านย่านเมืองเก่า Old Town ชมท่าเรือ โบสถ์ วัง จะหยุดพักจิบกาแฟซักหน่อยเพราะมีร้านน่ารักริมทางมากมาย ก่อนจะเดินเข้าไปยังกลางเมืองที่เป็นย่านช้อปปิ้ง เป็นเมืองที่สวย ทันสมัย และมีความขลังอยู่ในตัวเอง

5. มอสโคว์ ประเทศรัสเซีย อัลลันมาถึงสตอกโฮล์มไม่ทันข้ามคืนก็มีสายลับรัสเซียพาเขาขึ้นเรือดำน้ำ ไปยังรัสเซียซะแล้ว ไปถึงมอสโคว์ก็ได้พบกับบุคคลสำคัญของโลกอย่างสตาลินอีกต่างหาก เพราะงั้นเลยอยากจะแนะนำที่เที่ยวมอสโคว์อีกซักเมือง ที่นี่มีแลนด์มาร์คที่ต้องไปคือ จัตุรัสแดง, มหาวิหารเซนต์เบซิล, พระราชวังเครมลิน และอีกมากมาย เดินทางในเมืองโดยรถไฟสะดวกนะเออ คนไทยเริ่มไปเที่ยวเยอะเพราะตั๋วเครื่องบินไม่แพงนัก เสน่ห์ของที่นี่คงจะเป็นอากาศที่หนาวมาก การสื่อสารกับคนในท้องถิ่นที่เขาว่ายากกว่าทุกที่ (ซึ่งมันท้าทายดีนะ) ภาพลักษณ์ที่เราเคยได้ยินจนชินชากับคำว่ารัสเซีย ทำให้อยากออกไปสัมผัสด้วยตัวเองว่าที่จริงแล้วมันเป็นยังไง

ขอจบการตามรอยอัลลัน คาร์ลสันเพียงเท่านี้ (ความจริงการเดินทางของเขายังมีอีกเยอะ กว่าจะครบ 100 ปี) หวังว่าบทความนี้จะก่อกลุ่มก้อนบางเบาที่เรียกว่าแรงบันดาลใจให้คุณได้บ้าง ลองสะสมมันให้เป็นกลุ่มก้อนหนักหนาขึ้นเรื่อยๆ สิ แล้วออกไปเดินทางรอบโลกกัน

เครดิตภาพ: http://readery.co/publishers/gammemagie/9786167591735

10 อันดับ เมืองที่น่าอยู่ที่สุดในโลก หนึ่งใน 10 มีเมืองที่คุณอยากไปหรือเปล่า

การจัดอันดับเมืองน่าอยู่ที่กำลังพูดถึงนี้ มีที่มาจากศูนย์วิจัยความเป็นเลิศทางเศรษฐศาสตร์ (The Economist Intelligence Unit) ซึ่งอยู่ในเครือ The Economist Group ผู้นำการวิเคราะห์ด้านธุรกิจและเศรษฐศาสตร์ระดับโลก ซึ่งการจัดอันดับเมืองน่าอยู่นี้ (The most liveable cities) มีองค์ประกอบที่นำมาพิจารณาได้แก่  เสถียรภาพ (ความมั่นคงทางการเมือง ทหาร ความขัดแย้ง รุนแรง และอาชญากรรม) การเข้าถึงบริการด้านสุขภาพ ปัจจัยด้านวัฒนธรรมและสิ่งแวดล้อม ปัจจัยด้านการศึกษา และโครงสร้างพื้นฐาน โดยในปี 2018 ได้ทำการสำรวจ 140 ประเทศทั่วโลก ผลออกมาเป็นยังไงบ้าง ไปดู 10 อันดับเมืองที่น่าอยู่ที่สุด กันเลย

1. เวียนนา ประเทศออสเตรีย นอกจากจะมีคะแนนเกือบเต็มทุกด้านแล้ว เวียนนายังขึ้นชื่อว่าเป็นเมืองโรแมนติก เป็นนักแห่งศิลปะและดนตรี นักดนตรีคลาสสิกที่โด่งดังล้วนมาจากเมืองนี้ เช่น บีโธเฟ่น, บราห์ม, โมสาร์ท ถือเป็นเมืองที่มีประวัติศาสตร์ยาวนาน ผู้คนที่นี่น่ารักและรักสงบ จึงเป็นอีกเมืองหนึ่งที่คนนิยมเดินทางมาเยือนอย่างมาก

2. เมลเบิร์น ประเทศออสเตรเลีย เมืองที่ครองแชมป์น่าอยู่ที่สุดในโลกมาถึง 7 ปี ตกมาอยู่อันดับ 2 โดยมีคะแนนเป็นรองเมืองเวียนนาในด้านเสถียรภาพเท่านั้น ซึ่งเมลเบิร์นถือว่าเป็นเมืองสะอาด เต็มไปด้วยสวนและสถาปัตยกรรมที่สวยงาม อีกด้วย

3. โอซาก้า ประเทศญี่ปุ่น จะว่าไปก็ไม่น่าแปลกใจนัก เพราะพักหลังมานี่คนไทยไปเที่ยวญี่ปุ่นเยอะมาก เหตุผลหลายอย่างที่นักท่องเที่ยวชาวไทยเลือกโอซาก้าก็อย่างเช่น ความสวยงาม บ้านเมืองสะอาด และมีความปลอดภัย

4. คาลการี ประเทศแคนาดา อยู่ทางตอนใต้ของแคนาดา ถือเป็นเมืองสะอาดทันสมัย และเป็นเมืองท่องเที่ยวตากอากาศ ที่ชื่อเสียงมาก ออกจากตัวเมืองไม่ไกลจะรายล้อมทะเลสาบ ภูเขา ลำธาร เป็นวิวธรรมชาติที่ทำให้คุณตะลึงได้เลย

5. ซิดนีย์ ประเทศออสเตรเลีย เป็นเมืองใหญ่ มีท่าเรือและชายหาดสวยงาม โรงโอเปร่าอันโด่งดังเป็นเอกลักษณ์ที่คนทั่วโลกรู้จัก

6. แวนคูเวอร์ ประเทศแคนาดาบ้านเมืองที่สะอาด ถนนสวยงาม คงความเป็นธรรมชาติในเมืองด้วยต้นไม้ตกแต่งและดูแลอย่างดีบริเวณริมถนน และยังเป็นแหล่งช้อปปิ้งขึ้นชื่อของโลก และยังเป็นศูนย์กลางการถ่ายทำภาพยนตร์อันดับต้นๆ ของโลก จนได้ชื่อว่า Hollywood North  

7. โตรอนโต ประเทศแคนาดา เป็นเมืองที่มีความหลากหลายทางวัฒนธรรม ประชากรและนักศึกษาหลากหลายเชื้อชาติ ระบบรถสาธารณะดีมากทั้งรถบัส รถราง และเครือข่ายรถไฟใต้ดิน เหมือนหลายเมืองที่จะมีย่านเดินชมเมืองและย่านช้อปปิ้งในฝั่ง Yorkville หรือฝั่ง Old Town ซึ่งมีทั้งร้านอาหาร สินค้าท้องถิ่น และมีสถาปัตยกรรมให้เดินชมไม่รู้เบื่อเลย

8. โตเกียว ประเทศญี่ปุ่น อีกหนึ่งเมืองในเอเชียที่น่าอยู่ที่สุด นอกจากความสะอาดและความมีระเบียบวินัยของคนญี่ปุ่นแล้ว ที่โตเกียวยังมีแลนด์มาร์คมากมาย ทั้งวัดชื่อดัง ทั้งสวนสาธารณะ ย่านช้อปปิ้ง ย่านเดินเที่ยว กินของอร่อย ดื่มเบียร์ท่ามกลางอากาศหนาวเย็น จนเป็นเมืองท่องเที่ยวที่นักเดินทางตั้งเป้าไว้ว่าต้องไปเยือนซักครั้ง

9. โคเปนเฮเกน ประเทศเดนมาร์ก วิวเดนมาร์คที่เราคุ้นเคยคือตึกสีลูกกวาดที่เรียงรายสวยงาม นอกจากจะเป็นเมื่องท่องเที่ยวที่ได้รับความนิยมแล้วที่โคเปนเฮเกนยังคงวิถีวัฒนธรรมของชาวเมืองไว้ด้วย มีถนนคนเดินและพระราชวังสวยงามอลังการ และยังเป็นเมืองแห่งการขี่จักรยานที่ปลอดภัยที่สุดแห่งหนึ่งของโลกอีกด้วย

10. แอดิเลด ประเทศออสเตรเลีย เป็นเมืองริมทะเลที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อมมากๆ เพราะเป็นเมืองแรกของโลกที่ให้บริการรถสาธารณะที่ใช้พลังงานแสงอาทิตย์ ผู้คนที่เมืองนี้ใช้พลังงานสะอาด นักท่องเที่ยวที่นี่นิยมปั่นจักรยานรอบเมือง ชมไร่องุ่นและโรงผลิตไวน์ และดื่มด่ำกับธรรมชาติที่สุดแสนจะเพอร์เฟค

                ในการสำรวจทั้งหมด 140 ประเทศ กรุงเทพมหานครของเราติดอันดับ 100 ด้วยนะ และถ้าใครอยากรู้ว่าเขาประเมินยังไงไปดูได้ใน The Global Liveability Index 2018 บนเว็บไซต์ของ The Economist ได้เลย และนี่คือ 10 เมืองที่น่าอยู่ที่สุดของโลกที่เรานำข้อมูลมาฝากกัน หวังว่าจะเป็นประโยชน์ในการวางแผนเดินทางอันใกล้นี้ของพวกคุณนะ

เครดิตภาพ: https://pixabay.com/photos/vienna-downtown-panorama-1460110/