มาตั้งเป้าหมายการเดินท่องเที่ยวปี 2020 กันเถอะ

เดี๋ยวนี้สายเที่ยวเขาตั้งเป้ากันยาวๆ จะได้มีเวลาเก็บเงินและมีเวลาวางแพลนการเดินทางและการหาที่พัก คาดว่าโซนยุโรป โดยเฉพาะบรรดาเมืองขึ้นชื่อทั้งหลาย หลายคนไปมาบ้างแล้ว บางคนอาจไปหลายครั้งจนอาจจะเบื่อแล้วก็ได้ เพราะฉะนั้นจุดหมายปลายทางการท่องเที่ยวต่างประเทศในช่วงปีหลังๆ มานี้ เราจึงเริ่มเห็นว่าเราไปเที่ยวในสถานที่ที่มันทรหศมากขึ้นและเดินทางลำบากกว่าเมืองโรแมนติกที่คุ้นเคยหลายเท่านัก และนี่คือ 4 จุดหมาย ที่อยากไปให้ได้ในเร็วๆ นี้

Everest Base Camp ประเทศเนปาล

                เห็นเขาไป Trekking ที่เนปาลแล้วก็อยากไปบ้าง เห็นเขาว่ากันว่าเป็นการเดินเท้าไปถึง base camp ที่ความสูงประมาณ 5,000 เมตร (ซึ่งยอดเขาเอเวอเรสต์สูง 8,800 เมตร) ระหว่างทางวิวสวยมากและยังจะได้สัมผัสวิถีชาวภูเขาด้วย ฟังแบบนี้แล้วกระตุ้นความอยากไปมากๆ เลย ซึ่งการจะไปแบบนี้ต้องเตรียมตัวอย่างดี เตรียมร่างกายให้แข็งแรง เตรียมเสื้อผ้าข้าวของเครื่องใช้ที่จำเป็น เนี่ย…มันต้องไปซักครั้งให้ได้

Rush Lake Trek ประเทศปากีสถาน

                คนรู้จักไปมา เห็นภาพแล้วมันดีงามมากเลย นอกจากการเดิน trekking แบบลุยๆ ที่เราชอบแล้ว ภูมิประเทศที่ปรากฎมันสวยมาก เขาบอกว่าต้องเดินตามเส้นทางที่ข้ามธารน้ำแข็งขนาดใหญ่ Hopper Glacier ต่อด้วย Barpu Glacier, Black Glacier, White Glacier มันมีทั้งความแห้งแล้ง ความหนาวเย็น และความเขียวขจีสวยงามที่ซ่อนอยู่ เหมือนความรู้สึกเวลาเราได้ยินคำว่าปากีสถานนั่นแหล่ะ มันฟังดูอันตรายนะ แต่ในความอันตรายมันก็มี Rush Lake Trek ซ่อนอยู่

อิตตอกกอร์ตูมีต กรีนแลนด์

                เพราะนึกถึงความรู้สึกเป็นอิสระและการปลดปล่อยความเป็นตัวเอง ในหนังเรื่อง The Secret Life of Walter Mitty และวิวในฉากนั้นรวมถึงวิว landscape เจ๋งๆ ในเรื่องก็ติดตาตรึงใจมาตลอด กรีนแลนด์จึงเป็นตัวแทนของสถานที่แห่งนั้นที่เราอยากจะไปสัมผัสซักครั้ง โดยเมืองจุดหมายที่จะไปคืออิตตอกกอร์ตูมีต (Ittoqqortoormiit) หมู่บ้านชาวประมงที่สงบเงียบ เขาว่ากันว่าสามารถมองเห็นแสงเหนือได้จากหน้าต่างที่พักด้วยนะ และธรรมชาติของที่นั่นก็อัศจรรย์มาก ความจริงถ้าไปถึงกรีนแลนด์ไม่ได้ จะตั้งเป้าให้ตัวเองไปแค่นอร์เวย์ สวีเดน หรือไอซ์แลนด์ก็พอแล้ว แต่จะไปทั้งทีมันต้องไปที่ที่อยากไปที่สุดก่อนดิ ว่าไหม!

Amsterdam ประเทศเนเธอร์แลนด์

                ท้ายสุดแล้วจะไปไหน ก็ต้องย้อนกลับมาดูเงินในกระเป๋าด้วยจ้า อีกหนึ่งจุดหมายที่คงไม่ได้โหดและแพงเท่า 3 จุดหมายด้านบน และก็อยู่ในลิสต์รายชื่อเมืองที่อยากไปมานานแล้วก็คืออัมสเตอดัมนั่นเอง เป็นเมืองรักโลกรักสิ่งแวดล้อม เมืองจักรยาน คลองสวย ผู้คนรักโลกและรักสุขภาพ สองสามปีที่ผ่านมาการเดินทางท่องเที่ยวยุโรปที่วางแผนไม่ค่อยดี ทำให้พลาดเมืองนี้ทุกครั้ง ถ้าได้ไปกะว่าจะปักหลักที่นี่ซักสองสามวัน ปั่นจักรยานซักหนึ่งวัน เดินชมดอกไม้จิบกาแฟซักหนึ่งวัน และก็ช้อปปิ้งซักหนึ่งวัน ฟังดูเหมือนชีวิตดีจัง ถ้าจะทำได้แบบนั้น ก็ต้องขยันทำงานมากขึ้นเยอะเลยนะ

                สถานที่ที่เลือกมามีทั้งโหดมาก โหดน้อย ซึ่งถ้าเลือกแล้วว่าจะไปต้องเริ่มวางแผนและเตรียมตัวกันยาวๆ เลยล่ะ และนี่ก็คือเป้าหมายสำหรับ Next Trip ของพวกเรา เป็นการกำหนดเส้นทางใหม่ๆ สถานที่ใหม่ๆ…เพราะชีวิตคือการเดินทาง อยากรู้ว่าเป็นยังไง เราต้องไปค้นหาเองนะ

เครดิตภาพ: https://pixabay.com/photos/tasiilaq-greenland-east-greenland-892503/ 

One Day Trip นั่งเรือเรื่อยเปื่อยจาก Lausanne ไปโผล่ Montreux

เหตุการณ์นี้จะเกิดขึ้นเมื่อคุณเดินชมเมืองชมโบสถ์ อาคารบ้านเรือน และช้อปปิ้งในโลซานน์อย่างหนำใจแล้ว นึกขึ้นได้ว่าน่าจะนั่งเรือชมทะเลสาบซักหน่อย และท่าเรือก็อยู่ใกล้สถานีรถไฟนี่เอง นั่งเมโทรไปแปปเดียวก็ถึง นั่นแหล่ะคือที่มาของการนั่งเรือเรื่อยเปื่อยกินเวลาครึ่งค่อนวัน

                Montreux (มองเทรอซ์) จุดหมายปลายทางที่เราจะไปนั้นเป็นเมืองตากอากาศของสวิตเซอร์แลนด์ ตั้งอยู่บนรายฝั่งของทะเลสาบเจนีวา เคยเป็นทางผ่านของถนนสมัยโรมัน ที่ใช้เดินทางจากอิตาลีสู่นครอเวนติกัม (Aventicum) เมื่องหลวงของโรมัน คนที่นี่ส่วนใหญ่จะทำงานหรือธุรกิจเกี่ยวกับการจำหน่ายเครื่องยนต์ การขนส่งสินค้า โรงแรมและร้านอาหาร และมีบางส่วนที่ทำโรงงานอุตสาหกรรมและการก่อสร้าง และมีส่วนน้อยที่ทำเกษตรกรรม ผลิตภัณฑ์ไม้ และการประมง เพราะฉะนั้นในเมืองในนี้ก็จะเห็นอาคารและสิ่งก่อสร้างที่ทันสมัย อาคารโรงแรมและอพาร์ทเม้นท์มีให้เลือกมากมาย รูปทรงล้ำสมัยและแปลกตาดี ความจริงสามารถนั่งรถไฟจากโลซานมามองเทรอซ์เลยก็ได้ ใช้เวลาไม่ถึงครึ่งชั่วโมง แต่เราตั้งใจไว้แล้วว่าจะนั่งเรือนี่เนอะ เพราะงั้นพอออกจากเมโทรก็เดินลิ่วๆ มาท่าเรือเลยจ้า สามารถใช้ SWISS PASS ขึ้นเรือได้เลย ก่อนขึ้นเรือเจ้าหน้าที่บอกว่าเป็นเรือไปที่ไหน รอบเวลาเท่าไหร่ จากนั้นก็จะให้เข้าแถวเดินขึ้นเรือ เราก็เดินตามลุงป้าไป เจอคนไทยเยอะแยะ (ต้องยอมรับว่าคนไทยเที่ยวสวิสเยอะมาก) บนเรือจะมีที่นั่งแบบธรรมดา กับแบบวีไอพีนะ จะบอกว่ามีคนแถวนี้หลงไปนั่งโซนวีไอพี ทั้งที่ตัวเองถือตั๋วธรรมดา นั่งชมทะเลสาบไปพลางคิดว่า เอ…ทำไมได้ที่นั่งดีจัง ลมเย็นสบาย เห็นวิวเกือบจะสามร้อยหกสิบองศา รอบข้างส่วนใหญ่เป็นคุณตาคุณยายมาแบบเป็นคู่ ที่ไหนได้เจ้าหน้าที่มาแจ้งว่า “คุณกำลังนั่งโซนวีไอพีนะฮะ กรุณาย้ายไปนั่งชั้นล่างด้วย” หน้าแห้งเลย ฮ่าๆ 

                เอาล่ะ ลงมาชั้นล่างแล้ว เจอเพื่อนๆ หลากหลายวัยเยอะดี ไม่เกร็งเหมือนนั่งชั้นบนแฮะ พอเจอวิวสวยๆ พวกเขาจะส่งเสียงฮือฮา เรามองไปบนฝั่งเห็นบ้านเรือนริมทะเลสาบแล้วรู้สึกอิจฉาพวกเขาจังเลยที่ได้อยู่ในประเทศที่สวยขนาดนี้ ถัดจากชุมชนเราจะเห็นไร่องุ่นประปราย เรือจะจอดทุกท่าเราก็จะมีเพื่อนใหม่ขึ้นเรือมาเรื่อยๆ ซักพักจะเห็นปราสาทกลางน้ำ และเรือก็จอดเทียบท่าที่มองเทรอซ์ในที่สุด เย้! จริงๆ กะแค่เดินเล่นในเมืองเลยไม่ได้ไปแลนด์มาร์คใดๆ (ถ้าคนมีเวลามากพอแนะนำให้ไปปราสาทชิลยอง และไร่องุ่นมรดกโลกที่เมืองลาโวซ์ นั่งรสบัสไปได้ไม่ไกล) และรู้ตัวอีกทีก็พบว่าตัวเองติดแหงกอยู่ที่ตลาดเล็กๆ น่ารักริมทะเสสาบ ใกล้ๆ ท่าเรือนั่นแหล่ะ เป็นตลาดที่คนมาขายของท้องถิ่น ของแฮนด์เมคน่ารักมากมาย เดินชมเพลินจนล่วงเลยเวลา

                และแล้วทริปนั่งเรือไป Montreux ก็จบลงด้วยดี ส่วนใหญ่นักท่องเที่ยวจะเดินทางจากมองเทรอซ์ต่อไป Interlaken หรือไม่ก็ไป Zermatt เมืองในหุบเขายอดนิยมของนักท่องเที่ยวชาวไทย (ถึงขนาดมีป้ายแจ้งข้อมูลเป็นภาษาไทยในสถานีรถไฟ และร้านอาหารบางร้านมีเมนูอาหารภาษาไทยด้วย) ถ้ามีโอกาสจะมารีวิวทริป Zermatt นะฮะทุกคน

เครดิตภาพ: https://pixabay.com/photos/lake-mountains-landscape-montreux-3918137/

แนวคิดสีเขียว 7 ประการ เพื่อการท่องเที่ยวที่ยั่งยืน : คุณเป็นคนหัวใจสีเขียวหรือเปล่า ?

แคมเปญรักโลกมาอีกแล้ว “ท่องเที่ยวสดใส ใส่ใจสิ่งแวดล้อม” ประกอบด้วยแนวคิดสีเขียว 7 ประการ (7 Green Concepts) เพื่อเป้าหมายสำคัญ 2 ประการ โดยประการแรกก็เพื่อให้เกิดการลดผลกระทบจากภาวะโลกร้อน และประการที่สองเพื่อให้เกิดรูปแบบการท่องเที่ยวที่ยั่งยืน ความจริงมีการประกาศแนวคิดนี้มาหลายปีแล้วล่ะซึ่งมันอยู่ภายใต้โครงการปฏิญญารักษาสิ่งแวดล้อมเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนของการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย มีการขับเคลื่อนกลยุทธและปลูกฝังแนวคิดนี้ให้กับนักท่องเที่ยวและคนรุ่นใหม่เรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน เอาล่ะ แนวคิดสีเขียวทั้ง 7 ประการมีอะไรบ้าง ไปดูกันเลย

1. Green Heart หัวใจสีเขียว

การจะมีหัวใจสีเขียวได้ เราต้องเริ่มที่การเปิดมุมมองความคิด เปิดใจรับรู้ข่าวสารและการเปลี่ยนแปลงของโลก เรียนรู้และเข้าใจภัยร้ายที่เกิดขึ้นจากภาวะโลกร้อนและสิ่งแวดล้อมที่ถูกทำลาย เห็นความสำคัญของการป้องกันและฟื้นฟูสิ่งแวดล้อม ค่อยๆ สร้างคติให้กับตัวเอง “เที่ยวด้วยใจคิด เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม” หัวใจสีเขียวจะค่อยๆ ก่อตัวขึ้นโดยที่คุณไม่รู้ตัว พอย้อนกลับมานึกถึงอีกทีคุณก็จะเป็นคนหนึ่งที่มีพฤติกรรมและการปฏิบัติตัวแบบสีเขียวแล้วล่ะ

2. Green Logistics รูปแบบการเดินทางสีเขียว

ต้องถือคติ “ท่องเที่ยวใกล้ไกล ใช้พลังงานให้คุ้มค่า” โดยเลือกรูปแบบเดินทางที่ประหยัดพลังงานหรือใช้พลังงานทดแทนเพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก  เราสามารถเลือกใช้พาหนะในการเดินทางให้เหมาะสม ในส่วนที่เป็นสถานที่ท่องเที่ยวก็จัดหาพาหนะที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม หรือจัดรถบริการสาธารณะเพื่อส่งเสริมไม่ให้ใช้รถส่วนตัว

3. Green Attraction แหล่งท่องเที่ยวสีเขียว

คุณรู้ไหม ว่ามีสถานที่ท่องเที่ยวที่เข้าร่วมเป็นแหล่งท่องเที่ยวสีเขียวมากมาย ซึ่งผู้ประกอบการเหล่านี้ จะนำแนวคิด 7 Greens ไปใช้ในการจัดบริการท่องเที่ยว เช่น การกำหนดนโยบายและแนวทางปฏิบัติสำหรับพนักงานและนักท่องเที่ยว มีการใช้ชนิดพันธุ์พืชท้องถิ่นในการตกแต่งและสร้างความร่มรื่นและช่วยดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ใช้ ผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม จัดรถบริการนักท่องเที่ยวที่ปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์น้อยที่สุด จัดการและลดปริมาณของเสียและขยะให้น้อยที่สุด เป็นต้น เพราะฉะนั้นเวลาไปเที่ยวอย่าลืมคตินี้ “ท่องเที่ยวทั่วทิศ เลือกแหล่งเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม”

4. Green Activity กิจกรรมสีเขียว

เลือกที่จะสนุกกับกิจกรรมท่องเที่ยวหลากหลาย และไม่ทำลายสิ่งแวดล้อม โดยอาจเป็นกิจกรรมที่สอดคล้องกับวิธีของผู้คนท้องถิ่น เหมาะสมและกลมกลืนกับสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรในพื้นที่นั้น เช่น การเดินชมวัด โบราณสถานและไหว้พระ การปั่นจักรยาน การเดินป่าศึกษาธรรมชาติ เป็นต้น

 5. Green Community ชุมชนสีเขียว

อย่างที่บอกว่ามีแหล่งท่องเที่ยวชุมชนทั้งในเมืองและชนบทที่จัดบริการท่องเที่ยวให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวสีเขียว แต่ชุมชนเหล่านี้ยังคงวิถีและเอกลักษณ์เฉพาะของชุมชนเอาไว้ เพราะงั้นเราในฐานะนักท่องเที่ยวหัวใจสีเขียว ต้อง “เที่ยวอย่างรู้ค่า รักษาเอกลักษณ์ชุมชน” ในส่วนของผู้จัดบริการแหล่งท่องเที่ยวชุมชนเองก็ต้องมองไปถึงการพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวที่มีความยั่งยืน ต้องมีการจัดการดูแลเรื่องขยะและสิ่งแวดล้อม รักษาความสมบูรณ์ของธรรมชาติและการดำรงอยู่ของวิถีท้องถิ่น

6. Green Service การบริการสีเขียว

เรามักจะเห็นบริการของสถานที่ท่องเที่ยว โรงแรม ที่พักหลายแห่ง ที่เสนอทางเลือกบริการที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม นั้นก็เพื่อรักษาสิ่งแวดล้อมและลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก เพราะฉะนั้นเวลาเที่ยวไหน ใกล้ ไกลให้ “เลือกใช้บริการธุรกิจที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม”

7. Green Plus ความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม

                นอกจากเราจะรับผิดชอบขยะที่เราเป็นคนสร้าง และปฏิบัติตามข้อกำหนดของสถานที่ท่องเที่ยวแล้ว อย่าลืมถือคติ “ลดโลกเลอะ” ด้วยนะ โดยอาจเริ่มที่ตัวเราในการลด ละ เลิกใช้พลาสติก หรืออาจเป็นรูปแบบการรวมกลุ่มทำประโยชน์เพื่อลดโลกเลอะ เกิดเป็น “จิตอาสา พาโลกสดใส ใส่ใจสิ่งแวดล้อม” ซึ่งหากทำได้แค่นี้ก็ถือได้ว่าเป็นผู้ที่มีความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม หรือ เป็น Green Plus ได้เลยจ้า

                อย่าลืมนะ…เริ่มที่เปิดมุมมอง เรียนรู้ เข้าใจสาเหตุและผลกระทบภาวะโลกร้อน และมาร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการลดภาวะโลกร้อนด้วยการท่องเที่ยวที่ยึดหลักสีเขียว 7 ข้อนี้ แค่คุณตระหนัก…สีเขียวก็เริ่มเกิดขึ้นในใจคุณแล้ว

เครดิตภาพ: https://pixabay.com/photos/jungle-pathway-steps-way-sunlight-1807476/

ตามเทรนท่องเที่ยวไทยใส่ใจสิ่งแวดล้อม ไปเที่ยวไหนอย่าลืมถือคติ “ลดโลกเลอะ” นะทุกคน

เรื่องสิ่งแวดล้อมและการจัดการขยะนี่มันเป็นวาระแห่งชาติไปแล้วนะ รู้ไหม ว่าประเทศไทยอยู่ในอันดับต้นๆ ของโลกที่กำลังประสบปัญหาเรื่องขยะ ก็ดูสิ เราน่ะ..ผลิตขยะกันทุกวัน มีขยะแล้วทิ้งลงถังถูกต้องจะถูกนำไปกำจัดตามวิธี และถ้าทิ้งไปทั่ว ขยะนั่นก็จะวางกองอยู่แบบนั้น กลายเป็นความสกปรกเลอะเทอะ แต่สิ่งที่อยากให้รู้อีกอย่างหนึ่งคือ ขยะที่เกิดขึ้นมากมายมหาศาลในแต่ละวัน (โดยเฉพาะกล่องโฟมบรรจุอาหารและถุงพลาสติกเนี่ย มันเยอะจริงๆ นะ และที่กำลังมาแรงมากคือพวกแก้วพลาสติกและหลอดพลาสติก มันเยอะมากเลยนะพวกคุณ) มันมีเยอะมากเลยที่หลุดรอดระบบเก็บรวมรวมของเทศบาลต่างๆ ไหลลงสู่แม่น้ำ อุดตันท่อระบายน้ำ ไหลลงไปในทะเล ปลาวาฬกินขยะเพราะนึกว่าเป็นอาหาร ไอ้หลอดพลาสติกทั้งหลายติดอยู่ในจมูกเต่า ขยะอีกมากมายถูกน้ำทะเลพัดพาจากกรุงเทพ ซัดไปเกยที่หาดภูเก็ต และนี่คือปัญหาสิ่งแวดล้อมที่เกิดขึ้นจากมือเรา เพราะฉะนั้นเราจะอยู่เฉยไม่ได้แล้ว

การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย กับปฏิญญา ‘เที่ยวไทยเท่ ไม่สร้างขยะ ลดโลกเลอะ’

การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย หรือ ททท. สร้างกระแสใส่ใจสิ่งแวดล้อม ด้วยการสร้างความร่วมมือกับเครือข่ายที่เกี่ยวข้อง เช่น สมาคมโรงแรมไทย สมาคมการค้าธุรกิจในแม่น้ำเจ้าพระยา ไอคอนสยาม รัฐวิสาหกิจหรือชุมชนท่องเที่ยวในพื้นที่ต่างๆ เทศบาลนครนนทบุรี เอ็กซ์พีเดียกรุ๊ป เป็นต้น โดยเครือข่ายเหล่านี้จะร่วมกันขับเคลื่อนกลยุทธลดขยะ ประชาสัมพันธ์และให้คำแนะนำนักท่องเที่ยวหรือผู้มารับบริการ มีกิจกรรมเพื่อส่งเสริมให้เกิดการลดขยะและรักษาสิ่งแวดล้อม โดยเบื้องต้นจะมีคำแนะนำในให้พลาสติกที่ใช้ครั้งเดียว (Single-use Plastics) การใช้ถุงผ้าแทนถุงพลาสติก ใช้ขวดน้ำพกพา กล่องข้าวพกพา ปฏิเสธหลอดพลาสติกหรือใช้หลอดที่ทำจากวัสดุธรรมชาติ เป็นต้น

ลดโลกเลอะกับเป๊ก ผลิคโชค

ต้องบอกว่าเกิดกระแสที่ดีมากเลย เมื่อการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยมีแคมเปญ “ลดโลกเลอะ กับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย” มีโฆษณาออกมาหลายตัว และได้ เป๊ก-ผลิตโชค อายนบุตร มาช่วยสร้างกระแสลดโลกเลอะ ซึ่งเฮียเป๊ก สามีสุดที่รักของนุชทั่วไทย ก็ชวนนุชปฏิบัติภาระกิจลดโลกเลอะ พร้อมกับโพสต์ในช่องทางที่เป๊กใช้ติดต่อพูดคุยกับแฟนคลับทั้ง 3 แอฟพลิเคชั่น (FacebookFanpage Twitter และ Instagram) พร้อมแฮชแทก #ลดโลกเลอะ และ #ลดโลกเลอะกับผลิต เท่านี้นุชว่าล้านคนก็ตื่นตัวและตระหนักเรื่องการลดขยะ เกิดกลุ่มแฟนคลับจิตอาสาเก็บขยะริมหาด กลุ่มเชิญชวนคัดแยกขยะ มีนุชมากมายหันมาใช้กระเป๋าผ้า ใช้กระบอกน้ำพกพา ไปซื้อข้าวก็เอากล่องไปเอง เนี่ย…น่ารักมากเลย

พวกเราชอบไปเที่ยวสถานที่สะอาดสบายตา อยากให้โลกสวยงามอยู่เสมอ เพราะฉะนั้นไปเที่ยวที่ไหนพยายามอย่าขนขยะไปด้วยจ้า หรือเลี่ยงไม่ได้ก็ขอให้เรามีส่วนในการผลิตขยะน้อยที่สุดเท่าที่จะทำได้  เพราะแค่เก็บขยะลงถัง นั่นคือข้อปฏิบัติพื้นฐานที่เราควรทำ แต่ต่อไปนี้ต้องหยุดสร้างขยะด้วย จะได้เป็นคนไทยเท่ห์..คนไทยยุคใส่ใจสิ่งแวดล้อมจ้า

เครดิตภาพ: https://pixabay.com/photos/garbage-waste-container-waste-2729608/  

สิ่งที่คุณอาจจะยังไม่รู้เกี่ยวกับรถไฟใต้ดินในกรุงปารีส

ปารีสเป็นดินแดนชวนฝัน ฉันอยากไป เธอก็อยากไป คงมีสถานที่มากมายในกรุงปารีส นครแสนโรแมนติกแห่งนั้น ที่ดึงดูดผู้คนทั่วโลกให้อยากไปเยือน นอกจากจะขึ้นชื่อเรื่องความโรแมนติก สถาปัตยกรรมและศิลปะแล้ว กรุงปารีสยังขึ้นชื่อว่าเป็นเมืองที่มีสถานีรถไฟใต้ดินหนาแน่นที่สุดในโลกอีกด้วย โดยเริ่มเปิดให้บริการมาตั้งแต่ปี 1900 จนปัจจุบันมี 14 สาย (สาย 1 – 14) และมีสายย่อยอีกสองสายนั้นคือ สาย 3 (2) และสาย 7 (2) รวม 298 สถานี อย่างไรก็ตาม ยังมีสิ่งที่คุณอาจจะยังไม่รู้เกี่ยวกับรถไฟใต้ดินในกรุงปารีส

1. มีตั๋วหลายแบบ ทั้งแบบ ตั๋วใช้ครั้งเดียว (Ticket t +), ตั๋วครั้งเดียวแต่ขายเป็นชุด 10 ใบ (Carnet), ตั๋ววัน (Day tickets), ตั๋วหลายวัน (Multi-Day Tickets), ตั๋วสัปดาห์ (Week Tickets) หรือแม้แต่ตั๋วรายเดือนก็มี ซื้อได้ที่ตู้ซื้อตั๋วภายในสถานี

2. ตราบใดที่ยังไม่ออกจากสถานี คุณจะสามารถเปลี่ยนเส้นทางไปสายไหน สถานีใด กี่สถานีก็ได้ แต่ทันทีที่คุณก้าวออกจากทางออกและขึ้นมาบนดินเมื่อไหร่ หากจะกลับเข้าไปคุณต้องใช้ตั๋วใบใหม่ทันที (ในกรณีเป็นตั๋วรายครั้งนะ)

3. วันส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ รัฐบาลจะให้ทุกคนนั่งรถไฟฟรี ก็คือวันที่ 31 ธันวาคม เวลา 17:00 น. ถึงวันที่ 1 มกราคม เวลา 12.00 น. นั่งรถไฟได้แบบไม่ต้องจ่ายตังค์ พวกรถแทรมส์ รถบัสก็ฟรีเหมือนกันนะ (นักท่องเที่ยวก็ได้นั่งฟรีจ้า)

4. สถานี Cite Metro station เป็นสถานีรถไฟใต้ดินที่อยู่บนเกาะกลางแม่น้ำแซน ชื่อเกาะอีลเดอลาซิติ: Île de la Cité (เกาะนี้ยังเป็นเหมือนจุดศูนย์กลางของปารีส ดูเหมือนว่าถนนที่มีเส้นทางเข้าสู่ปารีสจะนับหลักกิโลเมตร 0 ที่นี่ด้วย) สถานีนี้ต้องแล่นรถผ่านอุโมงค์ลอดแม่น้ำเข้าไป ตรงป้ายจอดรถไฟจึงอยู่ลึกลงไปใต้ดินมากหน่อย จึงทำให้มีการออกแบบสถานีที่แตกต่างจากสถานีอื่น คือมีบันไดโค้งยาว แปลกตา แต่สวยและคลาสสิกมาก

5. รถไฟใต้ดินหลายสาย จะมีช่วงที่โผล่มาวิ่งบนดิน โดยเฉพาะสายแถบรอบนอก ซึ่งพวกสายรอบนอกเนี่ย จะมีเสียงประกาศว่าสถานีต่อไปที่รถจะหยุดคือสถานีอะไร บางสายไม่มีจอโชว์ชื่อสถานี มีแต่เสียงบอกชื่อสถานี เพราะฉะนั้นต้องตั้งใจฟังดีๆ เพราะอาจจะฟังไม่ออกและเลยจุดที่ตั้งใจจะลงได้นะ และรถไฟปารีสไม่ได้สะอาดทุกสาย ไม่ได้ดีงามทุกเวลา เพราะฉะนั้นอาจจะต้องเตรียมใจหน่อย คุณอาจจะโชคดีเจออะไรที่ไม่เจริญหูเจริญตาได้

                นี่แหล่ะคือเรื่องที่เรานำมาแบ่งปันเกี่ยวกับรถไฟในปารีส ไม่แน่ถ้าใครมีโอกาสไปเที่ยวปารีสอาจจะไปเก็บเกี่ยวเรื่องที่พวกเราอาจจะยังไม่รู้ได้เพิ่มเติมอีกก็ได้ พอเอามาเล่าสู่กันฟังแล้วมันสนุกดีนะ บางเรื่องก็ขำๆ แต่บางเรื่องก็มีประโยชน์ จำไปใช้ได้ด้วย

เครดิตภาพ: https://pixabay.com/photos/metro-france-paris-cit%C3%A9-782257/

เดินทางท่องเที่ยวตามรอย “ชายร้อยปีผู้ปีนออกจากหน้าต่างแล้วหายตัวไป”

ถ้าใครเคยอ่านหนังสือเรื่อง “100 year old man who climbed out the window and disappeared” หรือ “ชายร้อยปีผู้ปีนออกทางหน้าต่างแล้วหายตัวไป” ของนักเขียนสวีเดน “Jonas Jonasson” คงจำได้ว่าชายร้อยปีสุดซ่าหรือคุณปู่อัลลัน คาร์ลสันนั้นได้เดินทางรอบโลกมาแล้ว บทความนี้จึงอยากเสนอไอเดียการเดินทางตามรอยชายชราอายุ 100 ปี เอาให้โหด มัน ฮา อย่ายอมน้อยหน้าคนแก่นะพวกคุณ

1. Malmkoping ประเทศสวีเดิน เป็นบ้านเกิดและเป็นจุดเริ่มต้นการเดินทางของอัลลัน คาร์ลสัน (ถ้าใครจำได้ คุณปู่หนีออกจากบ้านพักคนชราที่มัลม์โคปิง แล้วนั่งรถบัสไปลงสถานีบีริงก์) Malmkoping เป็นเมืองเล็กๆ ตั้งอยู่ในมณฑล Sodermanland เมืองเล็กมาก รอบเมืองเป็นทุ่งหญ้าและป่าไม้ ในเมืองมีพิพิธภัณฑ์รถแทรม (Tramway Museum Malmkoping) มีร้านขายของชำร้านขาย ร้านพิซซ่า และร้านเบเกอรี่ด้วยนะ ถ้าอยู่สตอกโฮล์มสามารถนั่งรถไฟต่อรถบัสมามัลม์โคปิ้งใช้เวลาประมาณสองชั่วโมงเอง

2. สะพานในประเทศสเปน ถ้าย้อนกลับไปสมัยอัลลันเป็นหนุ่ม ในช่วงที่เขาทำงานโรงงานได้เจอกับเพื่อนสเปนที่เป็นนักปฏิวัติฝันเฟื่อง ซึ่งอัลลันเดินทางตามเพื่อนมาสเปนเพื่อระเบิดสะพานในช่วงสงครามโลก เพราะงั้นถ้าใครมีโอกาสไปเที่ยวสเปน เราจะขอแนะนำให้ตามเก็บภาพสะพานทุกที่ที่คุณเจอเลย แล้วตั้งชื่อคอลเลคชั่นนี้ว่า “ภารกิจพิชิตสะพานกับชายร้อยปี” หรือจะตั้งชื่อใหม่ที่เข้ากับคุณก็ได้นะ สะพานสวยๆ ในสเปนก็อย่างเช่น สะพานส่งน้ำสมัยโรมันที่เซโกเวีย, สะพานเล็กสะพานน้อยอันเก่าแก่ที่เมืองบิลบาโอบิลเบา, Sant Bartomeu สะพานข้ามแม่น้ำที่เมือง Catalonia, Alcántara สะพานโรมันในเมือง Extremadura, Vizcaya สะพานขนส่งเชื่อมเมือง Portugalete และ Las Arenas เป็นต้น

3. แมนฮัตตัน ประเทศสหรัฐอเมริกา พอออกจากสเปนได้เพราะช่วยชีวิตนายทหารระดับสูง (โดยไม่ได้ตั้งใจซักนิด) อัลลันได้ใบผ่านทางเดินทางไปที่อื่น เขาไปอเมริกาและทำงานก่อสร้าง แต่พอได้ยินว่ามีโปรเจคแมนฮัตตันที่ทำเกี่ยวกับระเบิด เขาก็รีบไปสมัครทันที เลยจะมาชวนไปเที่ยวแมนฮัตตัน อีกฝั่งหนึ่งของมหานครนิวยอร์คนั่นเอง ที่นี่มีอะไรน่าสนใจน่ะเหรอ มีสะพานบรู๊คลิน (ที่เราได้เห็นในหนังบ่อยมาก) Central Park (สวนสาธารณะอันกว้างใหญ่ที่เป็นปอดของคนนิวยอร์ค) และยังสามารถไปเที่ยวย่านอื่นๆ ชื่อดังในนิวยอร์คอีกมากมาย

4. สตอกโฮล์ม ประเทศสวีเดิน หลังจากทำภาระกิจสำคัญคือการมีส่วนร่วมคิดค้นระเบิดปรมาณูและได้กลายเป็นเพื่อนกับประธาธิบดีสหรัฐอเมริกาแล้ว อัลลันได้เดินทางกลับมายังสตอกโฮล์ม คนไปเที่ยวสตอกโฮล์มนั้นนิยมเดินเล่น ผ่านย่านเมืองเก่า Old Town ชมท่าเรือ โบสถ์ วัง จะหยุดพักจิบกาแฟซักหน่อยเพราะมีร้านน่ารักริมทางมากมาย ก่อนจะเดินเข้าไปยังกลางเมืองที่เป็นย่านช้อปปิ้ง เป็นเมืองที่สวย ทันสมัย และมีความขลังอยู่ในตัวเอง

5. มอสโคว์ ประเทศรัสเซีย อัลลันมาถึงสตอกโฮล์มไม่ทันข้ามคืนก็มีสายลับรัสเซียพาเขาขึ้นเรือดำน้ำ ไปยังรัสเซียซะแล้ว ไปถึงมอสโคว์ก็ได้พบกับบุคคลสำคัญของโลกอย่างสตาลินอีกต่างหาก เพราะงั้นเลยอยากจะแนะนำที่เที่ยวมอสโคว์อีกซักเมือง ที่นี่มีแลนด์มาร์คที่ต้องไปคือ จัตุรัสแดง, มหาวิหารเซนต์เบซิล, พระราชวังเครมลิน และอีกมากมาย เดินทางในเมืองโดยรถไฟสะดวกนะเออ คนไทยเริ่มไปเที่ยวเยอะเพราะตั๋วเครื่องบินไม่แพงนัก เสน่ห์ของที่นี่คงจะเป็นอากาศที่หนาวมาก การสื่อสารกับคนในท้องถิ่นที่เขาว่ายากกว่าทุกที่ (ซึ่งมันท้าทายดีนะ) ภาพลักษณ์ที่เราเคยได้ยินจนชินชากับคำว่ารัสเซีย ทำให้อยากออกไปสัมผัสด้วยตัวเองว่าที่จริงแล้วมันเป็นยังไง

ขอจบการตามรอยอัลลัน คาร์ลสันเพียงเท่านี้ (ความจริงการเดินทางของเขายังมีอีกเยอะ กว่าจะครบ 100 ปี) หวังว่าบทความนี้จะก่อกลุ่มก้อนบางเบาที่เรียกว่าแรงบันดาลใจให้คุณได้บ้าง ลองสะสมมันให้เป็นกลุ่มก้อนหนักหนาขึ้นเรื่อยๆ สิ แล้วออกไปเดินทางรอบโลกกัน

เครดิตภาพ: http://readery.co/publishers/gammemagie/9786167591735

10 อันดับ เมืองที่น่าอยู่ที่สุดในโลก หนึ่งใน 10 มีเมืองที่คุณอยากไปหรือเปล่า

การจัดอันดับเมืองน่าอยู่ที่กำลังพูดถึงนี้ มีที่มาจากศูนย์วิจัยความเป็นเลิศทางเศรษฐศาสตร์ (The Economist Intelligence Unit) ซึ่งอยู่ในเครือ The Economist Group ผู้นำการวิเคราะห์ด้านธุรกิจและเศรษฐศาสตร์ระดับโลก ซึ่งการจัดอันดับเมืองน่าอยู่นี้ (The most liveable cities) มีองค์ประกอบที่นำมาพิจารณาได้แก่  เสถียรภาพ (ความมั่นคงทางการเมือง ทหาร ความขัดแย้ง รุนแรง และอาชญากรรม) การเข้าถึงบริการด้านสุขภาพ ปัจจัยด้านวัฒนธรรมและสิ่งแวดล้อม ปัจจัยด้านการศึกษา และโครงสร้างพื้นฐาน โดยในปี 2018 ได้ทำการสำรวจ 140 ประเทศทั่วโลก ผลออกมาเป็นยังไงบ้าง ไปดู 10 อันดับเมืองที่น่าอยู่ที่สุด กันเลย

1. เวียนนา ประเทศออสเตรีย นอกจากจะมีคะแนนเกือบเต็มทุกด้านแล้ว เวียนนายังขึ้นชื่อว่าเป็นเมืองโรแมนติก เป็นนักแห่งศิลปะและดนตรี นักดนตรีคลาสสิกที่โด่งดังล้วนมาจากเมืองนี้ เช่น บีโธเฟ่น, บราห์ม, โมสาร์ท ถือเป็นเมืองที่มีประวัติศาสตร์ยาวนาน ผู้คนที่นี่น่ารักและรักสงบ จึงเป็นอีกเมืองหนึ่งที่คนนิยมเดินทางมาเยือนอย่างมาก

2. เมลเบิร์น ประเทศออสเตรเลีย เมืองที่ครองแชมป์น่าอยู่ที่สุดในโลกมาถึง 7 ปี ตกมาอยู่อันดับ 2 โดยมีคะแนนเป็นรองเมืองเวียนนาในด้านเสถียรภาพเท่านั้น ซึ่งเมลเบิร์นถือว่าเป็นเมืองสะอาด เต็มไปด้วยสวนและสถาปัตยกรรมที่สวยงาม อีกด้วย

3. โอซาก้า ประเทศญี่ปุ่น จะว่าไปก็ไม่น่าแปลกใจนัก เพราะพักหลังมานี่คนไทยไปเที่ยวญี่ปุ่นเยอะมาก เหตุผลหลายอย่างที่นักท่องเที่ยวชาวไทยเลือกโอซาก้าก็อย่างเช่น ความสวยงาม บ้านเมืองสะอาด และมีความปลอดภัย

4. คาลการี ประเทศแคนาดา อยู่ทางตอนใต้ของแคนาดา ถือเป็นเมืองสะอาดทันสมัย และเป็นเมืองท่องเที่ยวตากอากาศ ที่ชื่อเสียงมาก ออกจากตัวเมืองไม่ไกลจะรายล้อมทะเลสาบ ภูเขา ลำธาร เป็นวิวธรรมชาติที่ทำให้คุณตะลึงได้เลย

5. ซิดนีย์ ประเทศออสเตรเลีย เป็นเมืองใหญ่ มีท่าเรือและชายหาดสวยงาม โรงโอเปร่าอันโด่งดังเป็นเอกลักษณ์ที่คนทั่วโลกรู้จัก

6. แวนคูเวอร์ ประเทศแคนาดาบ้านเมืองที่สะอาด ถนนสวยงาม คงความเป็นธรรมชาติในเมืองด้วยต้นไม้ตกแต่งและดูแลอย่างดีบริเวณริมถนน และยังเป็นแหล่งช้อปปิ้งขึ้นชื่อของโลก และยังเป็นศูนย์กลางการถ่ายทำภาพยนตร์อันดับต้นๆ ของโลก จนได้ชื่อว่า Hollywood North  

7. โตรอนโต ประเทศแคนาดา เป็นเมืองที่มีความหลากหลายทางวัฒนธรรม ประชากรและนักศึกษาหลากหลายเชื้อชาติ ระบบรถสาธารณะดีมากทั้งรถบัส รถราง และเครือข่ายรถไฟใต้ดิน เหมือนหลายเมืองที่จะมีย่านเดินชมเมืองและย่านช้อปปิ้งในฝั่ง Yorkville หรือฝั่ง Old Town ซึ่งมีทั้งร้านอาหาร สินค้าท้องถิ่น และมีสถาปัตยกรรมให้เดินชมไม่รู้เบื่อเลย

8. โตเกียว ประเทศญี่ปุ่น อีกหนึ่งเมืองในเอเชียที่น่าอยู่ที่สุด นอกจากความสะอาดและความมีระเบียบวินัยของคนญี่ปุ่นแล้ว ที่โตเกียวยังมีแลนด์มาร์คมากมาย ทั้งวัดชื่อดัง ทั้งสวนสาธารณะ ย่านช้อปปิ้ง ย่านเดินเที่ยว กินของอร่อย ดื่มเบียร์ท่ามกลางอากาศหนาวเย็น จนเป็นเมืองท่องเที่ยวที่นักเดินทางตั้งเป้าไว้ว่าต้องไปเยือนซักครั้ง

9. โคเปนเฮเกน ประเทศเดนมาร์ก วิวเดนมาร์คที่เราคุ้นเคยคือตึกสีลูกกวาดที่เรียงรายสวยงาม นอกจากจะเป็นเมื่องท่องเที่ยวที่ได้รับความนิยมแล้วที่โคเปนเฮเกนยังคงวิถีวัฒนธรรมของชาวเมืองไว้ด้วย มีถนนคนเดินและพระราชวังสวยงามอลังการ และยังเป็นเมืองแห่งการขี่จักรยานที่ปลอดภัยที่สุดแห่งหนึ่งของโลกอีกด้วย

10. แอดิเลด ประเทศออสเตรเลีย เป็นเมืองริมทะเลที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อมมากๆ เพราะเป็นเมืองแรกของโลกที่ให้บริการรถสาธารณะที่ใช้พลังงานแสงอาทิตย์ ผู้คนที่เมืองนี้ใช้พลังงานสะอาด นักท่องเที่ยวที่นี่นิยมปั่นจักรยานรอบเมือง ชมไร่องุ่นและโรงผลิตไวน์ และดื่มด่ำกับธรรมชาติที่สุดแสนจะเพอร์เฟค

                ในการสำรวจทั้งหมด 140 ประเทศ กรุงเทพมหานครของเราติดอันดับ 100 ด้วยนะ และถ้าใครอยากรู้ว่าเขาประเมินยังไงไปดูได้ใน The Global Liveability Index 2018 บนเว็บไซต์ของ The Economist ได้เลย และนี่คือ 10 เมืองที่น่าอยู่ที่สุดของโลกที่เรานำข้อมูลมาฝากกัน หวังว่าจะเป็นประโยชน์ในการวางแผนเดินทางอันใกล้นี้ของพวกคุณนะ

เครดิตภาพ: https://pixabay.com/photos/vienna-downtown-panorama-1460110/

แนะนำเมืองชิลๆ ชิคๆ ที่น่าเที่ยวที่สุดในปี 2562

สำหรับใครที่กำลังมองหาสถานที่สำหรับเดินทางไปพักผ่อนห่างไกลความวุ่นวาย ต้องการความเงียบสงบ บทความนี้จะไม่ทำให้คุณผิดหวัง เพราะเราจะมาแนะนำเมืองท่องเที่ยวแบบที่สามารถเดินถ่ายรูปชิลๆ นั่งดื่มด่ำบรรยากาศแบบชิคๆ ผู้คนเป็นมิตรอีกต่างหาก มีที่ไหนบ้าง ไปดูกันเลย

เมืองเชียงราย

                เมืองเชียงรายนี่เป็นเมืองเล็กๆ ออกจะเงียบด้วยนะ แต่กลับเป็นเป้าหมายอันดับต้นๆ ของนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติเลย แล้วมันมีอะไรดีน่ะเหรอ…นี่ไง “วัดร่องขุน” วัดที่มีพระอุโบสถสีขาวลวดลายสวยงามราวกับสวรรค์ที่ใครก็อยากไปเห็นกับตาตัวเองซักครั้ง จะว่าไปแล้วที่เที่ยวส่วนใหญ่จะอยู่นอกตัวเมือง เช่น พระตำหนักดอยตุง สวนแม่ฟ้าหลวง ภูชี้ฟ้า  เขามีรถรับจ้างของชาวท้องถิ่นให้บริการแบบเหมารายวันรายชั่วโมงด้วยนะ ส่วนกลางคืนในเมืองเชียงรายจะดูเงียบเหงาหน่อย แต่มีถนนคนเดินนะ ขายของพื้นเมืองมีให้เลือกหลากหลายดี และมีโซนที่เป็นร้านนั่งตอนกลางคืน เหมาะกับการนั่งจิบเบียร์และพูดคุยกันแบบสบายๆ มันดีทีเดียวเลยล่ะ

เมืองเชียงของ

                เชียงของเป็นเมืองเล็กๆ น่ารักตรงบ้านไม้โฮมสเตย์หรือพวกโรงแรมเล็กๆ ที่ตั้งเรียงรายอยู่ตามริมแม่น้ำโขง ถ้าไปเชียงของไม่ต้องคิดอะไรมากเลย ถือว่าไปพักผ่อนและเสพย์บรรยากาศก็คุ้มแล้ว ตอนเช้าตื่นมาเดินเล่นเลียบริมโขงซักหน่อยแล้วนั่งจิบกาแฟ กลางวันลองหาร้านกาแฟบรรยากาศดีๆ ไปอ่านหนังสือซักเล่ม หรือตระเวนหาร้านอร่อยพื้นเมือง ตกเย็นหาบาร์ริมน้ำที่บรรยากาศดีๆ เปิดเพลงเพราะๆ  แค่คิดก็ฟินแล้ว จริงไหม

เมืองนครพนม

                อีกหนึ่งเมืองรองที่บรรยากาศดีมากเลยล่ะ นอกจากพระธาตุพนม วัดดังๆ และสะพานมิตรภาพไทยลาวแล้ว ไฮไลท์ของนครพนมอีกอย่างคือการสร้างแลนด์มาร์คริมแม่น้ำโขง ทั้งเป็นจุดถ่ายรูป จุดศูนย์รวมให้คนชาวนครพนมมาทำกิจกรรมร่วมกัน มีถนนคนเดินด้วย ถ้าใครชอบแนวบ้านไม้โบราณล่ะก็ ที่นี่แหล่ะ… ร้านค้าร้านอาหารแบบบ้านไม้น่านั่งเรียงรายตามแนวถนน  ที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งคือการเดินเล่นและปั่นจักรยานริมโขง เพราะที่นี่เขาทำทางจักรยานได้ดีและมีความโรแมนติกมากเลย

เมืองอุบลราชธานี

                อีกหนึ่งเมืองชิคๆ ที่ผู้คนพูดถึงและแนะนำกันปากต่อปาก  ไปอุบลฯ เนี่ย เขาว่าต้องไปเที่ยวสามพันโบก วัดเรืองแสงหรือวัดสิรินธรวราราม ภูพร้าว หรือแถบอุทยานผาแต้ม แต่รู้หรือเปล่าว่าในเมืองอุบลเองก็มีที่ให้เดินเล่นเช็คอินอยู่หลายจุดเลย โดยเฉพาะพวกร้านกาแฟ ร้านขนมนี่มีเยอะมาก ถ้าให้แนะนำกิจกรรมในตัวเมืองอุบลก็จะแนะว่าตื่นเช้ามาให้ไปกินต้มเส้นหรือก๋วยจั๊บอุบล ร้านไหนก็ได้อร่อยทั้งนั้น กลางวันไหว้พระในเมืองแล้วไปขลุกร้านกาแฟ  ตกเย็นกินอาหารเวียดนามหรือจะไปตลาดโต้รุ่งก็ได้มีให้เลือกเยอะดี ถ้าอยากช้อปปิ้งก็เดินถนนคนเดิน แล้วนัดเพื่อนไปนั่งคุยแถวร้านดีๆ ฟังเพลงเพราะๆ ริมแม่น้ำมูล และก่อนกลับอย่าลืมซื้อของฝากเป็นหมูยอเมืองอุบลจ้า

                แนะนำ 4 เมืองจ้า ถือว่าเป็นที่เที่ยวแบบที่ไปง่าย มาง่าย หาที่พักไม่ยาก เดินเที่ยวเบาๆ ไม่เหนื่อยมาก ไปคนเดียวก็ได้ ไปกับเพื่อนก็ดีนะ

เครดิตภาพ: https://pixabay.com/photos/thailand-chiang-rai-night-market-2371939/

หน้าฝนมาเยือนแล้ว ไปเที่ยวไหนกันดี แนะนำสถานที่ท่องเที่ยวหน้าฝน ฉบับคนชอบลุย

หน้าฝนนี่มันเย็นสดชื่นและชุ่มฉ่ำดีจังเลยเนอะ แต่มันไม่ค่อยเป็นมิตรกับคนทำงานซักเท่าไหร่เลย เพราะอะไรน่ะเหรอ…ก็เพราะว่าฝนตกทีไร เราจะรู้สึกไม่อยากทำงานทุกทีเลยน่ะสิ คงจะดีถ้าได้นอนกลิ้งไปกลิ้งมาบนที่นอนอย่างคนขี้เกียจทั้งวัน ซึ่งคงจะดีมากถ้าวันที่ฝนตกคือวันหยุดงาน แต่เดี๋ยวก่อน ! วันหยุดทั้งที เราจะนอนกินบ้านกินเมืองและปล่อยให้เวลาผ่านไปเฉยๆ ไม่ได้ ! เพราะงั้น อย่ามัวปล่อยเวลาให้ผ่านเลยไปแบบเปล่าๆ ปลี้ๆ ออกไปเที่ยวกันดีกว่าทุกคน…วันนี้เราจะมาแนะนำที่เที่ยวหน้าฝนกันจ้า

ภูกระดึง จังหวัดเลย

                อยากเดินป่า สัมผัสธรรมชาติใช่ไหม ได้เลย แพ็คกระเป๋าสิ แล้วไปหมอชิตกันเลย (หรือใครจะขึ้นเครื่องก็ได้นะ ไม่ว่ากัน) มีรถทัวร์กรุงเทพ – เลย ไปจอดตรงผานกเค้า จะมีรถสองแถวจอดรอบริการพาเราไปถึงอุทยานเลยนะ ซึ่งช่วงเดือนพฤษภาคม-มิถุนายนยังถือว่ายังเป็นต้นฤดูฝนอยู่  ฝนไม่ได้ตกแบบกระหน่ำไม่ลืมหูลืมตา ทางขึ้นภูยังเดินได้แบบสบายๆ พอไปไปถึงบนภูกระดึงคุณจะรู้สึกเหมือนอยู่ในโลกอีกใบเลย  จะบอกว่าภูกระดึงหน้าฝนจะเขียวขจี  พวกพืชพรรณแปลกตาจะแข่งกันชูช่อออกมาเบ่งบานให้เราได้เห็น น้ำตกช่วงนี้สวยกำลังดี แต่ต้องระวังตัวทากหน่อยนะ เพราะมันจะเยอะกว่าช่วงไหนๆ เลยล่ะ ความพิเศษของภูกระดึงหน้าฝนคือธรรมชาติแบบที่สมบูรณ์กว่าฤดูไหนๆ อากาศเย็นกำลังดี และการเดินป่าศึกษาธรรมชาติของคุณที่รับรองได้ว่าจะเละเทะสุดๆ ไปเลย

ทุ่งดอกกระเจียว จังหวัดชัยภูมิ

                ถ้าใครชอบการเดินเที่ยวแบบชิลๆ เปียกนิดหน่อย พอให้ชุ่มฉ่ำ แนะนำว่าให้ไปชมทุ่งดอกกระเจียว แนะนำให้ขับรถส่วนตัวไป ระยะทางจากกรุงเทพไปอุทยานแห่งชาติป่าหินงาม ประมาณ 4 ชั่วโมง ที่นี่จะมีรถนำเที่ยวที่จะขับไปตามเส้นทางธรรมชาติของอุทยาน ผ่านธารน้ำน่ารักข้างทาง ผ่านต้นไม้ใหญ่น้อยสองข้างทาง โขดหินที่สวยงามมีเอกลักษณ์ และทุ่งหญ้าสีเขียวที่จะมีเหล่าดอกกระเจียวสีชมพูสดใสแทรกแซมอยู่เต็มไปหมด นอกจากยังมีเส้นทางเดินศึกษาธรรมชาติด้วยนะ มีแบบสะพานไม้ยาวเหยียด คดโค้งไปมา ให้เดินชมเดินถ่ายรูปดอกกระเจียวให้หนำใจไปเลย  อยากให้ลองไปพักรีสอร์ทแถวนั้นซักคืนด้วย จะได้สัมผัสไอหมอกและบรรยากาศยามเช้าแบบชนบทที่จะลืมไม่ลงเลย

แนะนำสองที่ก็พอ ชอบแบบไหนก็เลือกเลย แต่ถ้ายังไม่อยากไปไกล ลองดูใกล้ๆ กรุงเทพก็มีให้เลือกเยอะแบบไปเช้าเย็นกลับ หรือจะไม่ไปไหนก็ได้นะ…หาหนังหรือซีรีส์แนวการเดินทางในสายฝนมาดูสิ  เช่น Shawshank’s Redemption, The Grand Master, Something in the rain หรือจะอ่านหนังสือก็ดีนะ เรื่องนี้ไหม สนุกสบายๆ “ชายร้อยปีที่ปีนออกนอกหน้าต่างแล้วหายตัวไป” หรือจะเป็นแนวเหงาๆ “ด้วยรัก ความตาย และหัวใจสลาย” หรือเรื่องนี้ที่นายอินทร์เคยแนะนำ “แล้วเจอกันในจักรวาล” แต่ถ้าขี้เกียจดูหนังและไม่อยากอ่านหนังสือ ก็กลับไปที่จุดเริ่มต้นกัน…กลิ้งไปกลิ้งมาบนที่นอน แล้วหลับไปอีกครั้ง

เครดิตภาพ: https://pixabay.com/th/photos/%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%9D%E0%B8%99%E0%B8%95%E0%B8%81-%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B3%E0%B8%9D%E0%B8%99-%E0%B8%A5%E0%B8%94%E0%B8%A5%E0%B8%87-%E0%B9%80%E0%B8%9B%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%81-%E0%B9%80%E0%B8%A8%E0%B8%A3%E0%B9%89%E0%B8%B2-1831908/

นี่พวกคุณ ประเทศไทยก็มีตู้ล็อคเกอร์ฝากของอัตโนมัติแล้วนะ

เวลาเราไปเที่ยวเมืองนอก จำได้ไหม ว่าเราเคยชอบใจมากเลยที่ตามสถานีรถไฟจะมีจุดรับฝากของ เป็นตู้ล็อคเกอร์อัตโนมัติเรียงรายให้เลือกทั้งตู้ใหญ่ตู้เล็ก ทีนี้เวลาเรารอรถเที่ยวต่อไปหรือรอเช็คอินเข้าที่พัก เหลือเวลานานๆ อยากออกไปเดินเล่นรอบเมือง หรือไปแวะช้อปปิ้งย่านดังในละแวกนั้น ก็ฝากตรงนี้เลย ไม่ต้องลากกระเป๋าหรือหิ้วของพะรุงพะรัง เป็นไง ชอบใช่ไหมล่ะแบบนี้ เลยจะมาบอกว่าประเทศไทยเองก็มีตู้ล็อคเกอร์ฝากของแบบนั้นแล้วนะ มีมาซักพักแล้วด้วย เอาล่ะ…มันหน้าตาเป็นยังไง ตั้งอยู่ตรงไหนบ้าง ไปดูกันเลย

หน้าตาเป็นยังไง ตั้งอยู่ตรงไหนบ้าง

Lock Box เป็นตู้รับฝากของระบบอัตโนมัติสีเหลือง คอนเซ็ปต์ของมันคือ Safe & Easy ประมาณว่าฝากของแล้วจะไปไหนก็ได้ ซึ่งไอ้ตู้สีเหลืองนี้จะตั้งอยู่ตามสถานีรถไฟฟ้าและรถไฟใต้ดิน เพื่อจะให้บริการนักเดินทางได้ฝากสัมภาระไว้ก่อน จะได้เดินตัวปลิวสบายสบาย เสร็จธุระเมื่อไหร่ค่อยมาเปิดล็อคเกอร์เอาของที่ฝากกลับบ้าน ก็เท่านั้นเอง ซึ่งตอนนี้มีจุดให้บริการตู้อัตโนมัตินี้อยู่ตามสถานี BTS และ MRT ถึง 14 สถานี ทั้งหมด 20 จุด ดังนี้

1. MRT กำแพงเพชร ทางออก 2 ไปตลาดนัดสวนจตุจักร

2. MRT กำแพงเพชร ทางออก 5 เจเจพลาซ่า

3. MRT สวนจตุจักร ทางออกที่ 1 ทางเชื่อมรถไฟฟ้า BTS หมอชิต

4. MRT สวนจตุจักร ทางออกที่ 3 ทางเชื่อมรถไฟฟ้า BTS หมอชิต

5. MRT พหลโยธิน สกายวอล์ค ทางเชื่อมเซ็นทรัลลาดพร้าวกับยูเนี่ยนมอล

6. MRT พหลโยธิน ทางออกที่ 5

7. MRT ลาดพร้าว ทางออกที่ 4 (อาคารที่จอดรถ)

8. MRT สุทธิสาร ทางออกที่ 3

9. MRT ห้วยขวาง ทางออกที่ 1

10. MRT ศูนย์วัฒนธรรม ทางออกที่ 3

11. MRT พระราม 9 ทางออกที่ 2 (เซ็นทรัลพระราม 9)

12. MRT เพชรบุรีทางออกที่ 1

13. Airport Rail Link มักกะสัน บริเวณจุดขายตั๋ว

14. MRT สุขุมวิท ทางออกที่ 1

15. MRT สุขุมวิท ทางออกที่ 2

16. MRT สุขุมวิท ทางออกที่ 3 เชื่อม BTS อโศก

17. MRT สีลม สกายวอล์ค เชื่อม BTS ศาลาแดง

18. MRT สีลม ทางออกที่ 2

19. MRT สามย่าน ทางออกที่ 1 (วัดหัวลำโพง)

20. MRT หัวลำโพง

อัตราค่าบริการ

ตู้มีหลายขนาดและมีอัตราค่าบริการไม่เท่ากัน นะ ราคาก็ตามนี้เลยจ้า

– Size S ราคา 20 บาท/ชั่วโมง หรือ 160 บาท/วัน

– Size M ราคา 30 บาท/ชั่วโมง หรือ 240 บาท/วัน

– Size L ราคา 40 บาท/ชั่วโมง หรือ 320 บาท/วัน

– Size XL ราคา 50 บาท/ชั่วโมง หรือ 400 บาท/วัน

การใช้งานน่ะเหรอ มันใช้ง่ายมากเลยนะ แค่เลือกตู้ล็อคเกอร์ให้เหมาะกับขนาดกระเป๋าหรือสัมภาระที่ต้องการฝาก จำหมายเลขล็อคเกอร์ที่เราเล็งไว้ จากนั้นก็ไปตรงตู้ที่มีจอเพื่อซื้อชั่วโมง หน้าจอจะแสดงแผนผังตู้ล็อคเกอร์มาให้ เราก็กดเลือกตู้ที่เราเล็งไว้ จากนั้นมันจะให้เลือกจำนวนชั่วโมงที่จะฝากของ (เราก็เลือกตามที่ต้องการ แต่ต้องกะเวลาให้ดีนะเพราะเอาของออกได้ครั้งเดียว) เมื่อเรากดยืนยัน มันจะให้เราตั้งพาสเวิร์ส 4 หลัก จากนั้นจะมีสรุปยอดที่ต้องจ่ายแสดงบนจอ หยอดเหรียญตามจำนวนเงินที่มันแจ้งมา แล้วรอรับใบเสร็จ และประตูล็อคเกอร์ที่เราเลือกก็จะเปิดรอให้เอาของไปฝากได้เลยจ้า ตอนกลับมาเอาของออก ก็ใส่พาสเวิร์สและกดตามขั้นตอนรอประตูตู้เปิดก็เอาของออกมาอย่างสบายใจเลย

และนี่ก็คือมิติใหม่แห่งการฝากสัมภาระ ไม่ต้องไปขอฝากใคร ไม่ต้องกังวลว่าของจะหายด้วย สามารถเข้าไปดูรายละเอียดเพิ่มเติมที่เว็บไซต์และแฟนเพจของ lockbox www.lockbox-th.com

เครดิตภาพ: https://web.facebook.com/LockBoxTH/photos/a.677880555687578/965803723561925/?type=3&theater