4 หนังที่ดูระหว่างนั่งเครื่องบินระหว่างประเทศ

เวลาบินไปไหนไกล ๆ นอกจากหลับ อ่านหนังสือ กิจกรรมฆ่าเวลาอีกอย่างหนึ่งก็คือ การดูหนังนี่แหล่ะ แต่ละสายการบิน มีจอทีวีส่วนตัว (Seatback Screens) และรายการภาพยนตร์ให้เลือกหลากหลายแตกต่างกันไป เลือกเรื่องไหนก็ตามสไตล์ตัวเองเลย สำหรับบทความนี้ อยากแชร์หนังที่ดูบนเครื่อง ซึ่งมีส่วนเกี่ยวข้องกับสถานที่ ที่เรากำลังจะไปหรือที่เราเพิ่งไปมา เอาล่ะ..มาเริ่มกันเลย

Berlin Syndrome

เป็นหนังที่ดูระหว่างเดินทางจากประเทศเยอรมนีกลับมาประเทศไทย เป็นช่วงเวลาที่เหมาะเจาะมาก เพราะทริปนั้นไปเที่ยวเบอร์ลินและพักที่เบอร์ลิน 2 คืน ได้เดินชมเมืองทั้งตอนกลางวันและกลางคืน ได้นั่งรถไฟฟ้าและรถไฟใต้ดิน ได้หลงทางเข้าไปในดงแขกกว่าจะกลับออกมาได้ ได้ไปกินอาหารอร่อย ซึ่งถือว่าเป็นทริปที่ประทับใจ ทริปหนึ่งเลย พอเห็น   หนังเรื่อง Berlin Syndrome ก็เลยเลือกดูเพราะยังอินความเบอร์ลินยังไม่หาย ดูไปก็รู้สึกว่า เห้ย เจ๋งดีแฮะ ภาพและฉากต่าง ๆ ในหนัง เป็นที่ที่เราเพิ่งไปมาทั้งนั้นเลย เกิดความรู้สึกคุ้นเคยขึ้นมาซะดื้อ ๆ

Love, Simon

เป็นหนังที่เพิ่งดูระหว่างการเดินทางไปต่างประเทศครั้งล่าสุด อาจเพราะมีเหตุผลหลายอย่างที่ทำให้ตัดสินใจไปเที่ยวครั้งนี้ ทั้งความผิดหวัง อยากเอาชนะ อยากคลายเครียด อยากหาความสุขให้ตัวเอง อารมณ์เลยค่อนข้างหม่นมัว แต่พอดู Love, Simon แล้วความรู้สึกเปลี่ยนไปเลย หนังมันจบแฮปปี้และมีความโลกสวยมาก ๆ เลยบอกตัวเองว่าให้คิดบวกและคิดแบบโลกสวยเข้าไว้ มันคงไม่เสียหายหรอกน่า

All About Lilly ChouChou

ก่อนหน้านี้ดูหนังญี่ปุ่นแนวดาร์กมาหลายเรื่อง หนังสือของนักเขียนญี่ปุ่นที่อ่านอยู่ก็ของฮารูกิ มูรากามิ ซึ่งก็เป็นสไตล์  การเขียนที่ชวนให้คนอ่านจมดิ่งกับอารมณ์สีเทาของตัวละคร พอมาดู All About Lilly Chou-Chou เท่านั้นแหล่ะ พอดูจบแล้ว เรื่องราวในหนังมันวนเวียนอยู่ในหัวเกิน 24 ชั่วโมงเลยทีเดียว เรื่องนี้เป็นหนังญี่ปุ่นเนื้อหาเกี่ยวกับวัยรุ่น มีฉากเป็น ทุ่งข้าวสีเขียวในชนบทประเทศญี่ปุ่น ดูแล้วรู้สึกถึงความเจ็บปวดของตัวละครที่มันค่อย ๆ เติบโตขึ้น พอได้ไปเที่ยวญี่ปุ่น ก้าวแรกที่เหยียบแผ่นดินญี่ปุ่น ก็ดันนึกถึงแต่เรื่องราวในหนัง นึกถึงแต่ความหมองมัว เศร้าสร้อย และหมดหวัง พอหันไปมองเพื่อนที่มาด้วยกัน เฮฮา ยิ้มกว้าง สดใส คนละอารมณ์กับเราเลย…เลยสลัดความรู้สึกสีเทานั้นทิ้งไป แล้วกลับมาเป็นคนสดใสกลมกลืนกับแก๊งเพื่อน

The Secret Life of Walter Mitty

ตอนนั้นเลือกดูหนังเรื่อง The Secret Life of Walter Mitty หนังที่สอนให้รู้จักความหมายของการเดินทางและรู้จักการ    ใช้ชีวิต ก่อนหน้านั้นมีความรู้สึกเบื่องานที่ทำอยู่เต็มที เคยถามตัวเองว่าที่ทำอยู่มันมีประโยชน์ยังไง ทำไมคนมองว่าเราทำเรื่องที่ไม่เกิดประโยชน์กับประเทศชาติ พอดูหนังจบเราได้ข้อคิดเรื่องการทำงาน…ทำให้เต็มที่ ทุ่มเท ให้ความรักกับสิ่งที่ทำ และอย่ากลัวที่จะเดินออกมาจากเส้นทางเดิม ๆ คิดนอกกรอบบ้าง อย่าลืมหาความสุขให้ตัวเองและครอบครัวคือสิ่งสำคัญ เหมือนที่ Walter Mitty ทำไง…ในระหว่างนั่งเครื่องบินกลับจากไปทำงานที่เวียดนาม ถึงได้ฉุกคิด และวางแผนไว้ว่าพอถึงกรุงเทพฯ จะนั่งรถทัวร์กลับบ้านที่ต่างจังหวัด (ที่ไม่ได้กลับเป็นเวลาร่วมปี)

ในช่วงเวลาเดินทางคนเดียว เครื่องบินลอยอยู่บนฟ้า ความรู้สึกของเราก็เหมือนลอยเคว้งคว้างอยู่บนนั้นด้วย การได้ดูหนังดี ๆ ซักเรื่อง อาจทำให้เราได้ทบทวนความรู้สึกตัวเอง และบางเรื่องอาจจะสามารถเปลี่ยนความคิดเราได้เลย

ไปเดินตะลุยหิมะที่โปแลนด์ Tatra National Park, Poland

เขาว่ากันว่าอุทยานแห่งชาติ Tatra National Park ซึ่งเป็นอุทยานที่อยู่ระหว่างชายแดน Poland และ Slovakia มี Rybi Potok Valley เป็นเส้นทางเดินเขาของชาวโปแลนด์ท้องถิ่น ข้างบนเขานั้นมีทะเลสาบ Morskie Oko (ออกเสียงว่ามอสกี้โอโกะ) คนท้องถิ่นและนักท่องเที่ยวต่างถิ่นนิยมมาพักผ่อนและชื่นชมธรรมชาติ จะว่าไปแล้วคงเหมือนการเดินขึ้นภูกระดึงของบ้านเรา มีผู้คนแวะเวียนไปเยี่ยมชมไม่ขาด ถึงจะเดินไกล เส้นทางทรหศแหละเหนื่อยขนาดไหน พอไปถึงบนนั้นแล้วจะหายเหนื่อยไปเลยเพราะธรรมชาติมันสวยมาก แถมยังได้เก็บช่วงเวลาแสนประทับใจในการใช้เวลาลำบากแต่สนุกสนานร่วมกันกับเพื่อน ๆ …ถ้าเช่นนั้น มาลองดูกัน ว่าเดินตะลุยหิมะ กับเดินขึ้นภูกระดึง อย่างไหนโหดกว่ากัน

Morskie Oko ตำนานเล่าว่ามันคือดวงตาแห่งทะเล

Morskie Oko เป็นทะลสาบที่อยู่บนเทือกเขา Tatra เขาบอกว่าที่นี่เป็นแหล่งชุมนุมของปลาเยอะมาก (โดยเฉพาะปลาเทราต์) โดยชื่อ Morskie oko ตรงกับภาษาอังกฤษ Sea Eye หรือ Eye of the sea เพราะทะเลสาบนี้มีจุดเชื่อมกับทะเล อาจจะผ่านทางการไหลของน้ำใต้ดิน ในช่วงเวลาปกติน้ำในทะเลสาบใส รายล้อมด้วยภูเขา และต้นไม้สีเขียวสดใส แต่ในช่วงฤดูหนาว ทะเลสาบจะกลายเป็นน้ำแข็งและถูกปกคลุมด้วยหิมะ มองไปทางไหนก็มีแต่สีขาวเต็มไปหมด ซึ่งช่วงเวลาที่เราจะไปเดินเขาครั้งนี้ ก็คือช่วงที่เต็มไปด้วยหิมะนี่แหล่ะ

การเดินทาง

เมื่อจุด start อยู่ที่เมืองคราคูฟ (Krakow) การเดินทางมาที่อุทยานฯ ก็สามารถนั่งรถบัสจากสถานีเดินรถที่ คราคูฟ ไปยังเมืองซาโกปาเน (Zakopane) โดยรถบัสสายนี้มีทุก 15-30 นาที เราเลือกรอบ 07.10 น. มาถึง  ซาโกปาเน เกือบ 10 โมง ระหว่างนั่งรถมาก็เห็นทิวทัศน์ที่ค่อย ๆ เปลี่ยนไปจากตึกเก่าในเมือง เริ่มเป็นท้องทุ่ง และก็…โห นั่นมันหิมะสุดลูกหูลูกตา (ไอ้ฉากหิมะที่เราเคยเห็นในหนัง Fargo กับ Hateful Eight มันเป็นแบบนี้นี่เอง) เมื่อถึงซาโกปาเนแล้ว นั่งรถตู้ต่อมาอีกประมานครึ่งชั่วโมงถึงทางเข้าอุทยาน มีค่าเข้าประมาน 1 ยูโร พอเข้ามาจะมีรถม้ารับจ้าง (แต่เราไม่นั่งรถม้านะ เพราะตั้งใจมาเดินตะลุยหิมะนี่นา) ขากลับก็เดินลงมาขึ้นรถตู้ที่หน้าอุทยาน กลับไปที่สถานีรถซาโกปาเน แล้วก็นั่งรสบัสกลับคราคูฟ การเดินทางค่อนข้างสะดวก ความจริงตอนขึ้นรถบัสเราสามารถเดินขึ้นรถแล้วจ่ายเงินกับคนขับได้เลย ไปต้องไปซื้อที่เคาน์เตอร์ก็ได้

Morskie Oko Vs ภูกะดึง
            เราจะได้เห็นว่าคนโปแลนด์เขาก็มาเดินเขาเยอะเหมือนกันนะ มากันเป็นครอบครัว มาเป็นคู่นี่เยอะมาก (เดินจับมือกัน และชอบถ่ายรูปจุ๊บปากกัน จุดจุมวิวทุกจุดที่เขาถ่ายรูปกัน เราจะได้เห็นฉากเลิฟซีนเบา ๆ แบบนี้แหล่ะ) มาเป็นแก๊งก็เยอะ ประมานว่ามาวัยรุ่นมาเป็นกลุ่มมือขวาจูงมือแฟนสาว มือซ้ายถือขวดเบียร์ (เริ่มเหมือนภูกระดึงแล้วไหมล่ะ) ที่นี่มีจุดพักประมาณ 7 จุด เป็นจุดถ่ายรูปและมีห้องน้ำบริการ ภูกระดึงก็มีจุดพักเป็น “ซำ” หลายซำ แต่ต่างกันตรงที่มอสกี้โอโกะไม่มีของขาย มีจุดเกือบจะสุดท้ายที่เป็นจุดพักใหญ่จุดเดียวที่มีร้านขายอาหารและเครื่องดื่ม

ทางที่เราเดินขึ้นมาเป็นหิมะ และพอหิมะผ่านการเดินเหยียบย่ำจะแข็งลื่นมาก ก็จะได้เห็นคนล้มคนลื่นเป็นระยะ เหนื่อยมากกว่าจะถึงจุดหมายที่เป็นทะเลสาบ ตรงหน้าทะเลสาบมีร้านอาหาร คนที่มาเป็นครอบครัวก็จะพากันกินขนมปัง แซนด์วิช ขนมที่เตรียมมากันตรงนี้ เป็นภาพที่น่ารักดี แต่จะบอกว่าข้างบนนี้หนาวมาก หนาวจนหน้าชา มือชา ขาชาไปหมด มองลงไปจะเห็นทะเลสาบกลายเป็นน้ำแข็งและมีหิมะเต็มไปหมด

สวยและประทับใจมากเลย ถือว่าเป็นสถานที่เที่ยวที่คนไทยยังไม่ค่อยนิยมไปกันเท่าไหร่นัก แนะนำว่าถ้ามาเที่ยวโปแลนด์ แล้วมีเวลาหลายวันหน่อย ลองแบ่งเวลาไว้มาที่นี่ซักวัน จะได้ฟีลลิ่งการเที่ยวแบบลุย ๆ เจอธรรมชาติสวย ๆ ที่สำคัญคือมีเพื่อนร่วมทางเยอะมาก เวลามีคนเลื่อนหิมะ จะมีคนมาช่วยดึงช่วยลาก ทั้งที่ไม่รู้จักกันมาก่อน ซึ่งตอนไปภูกระดึงก็มีแบบนี้ ถือว่าเป็นการเที่ยวในสถานที่ต่างกัน แต่ให้ความรู้สึกประทับใจเหมือนกัน

15 นาทีในซูริค สวิสเซอร์แลนด์

ต้องเท้าความกันนิดนึง สำหรับทริปนี้เป็นการเดินทางโดยรถไฟจาก Zermatt ประเทศสวิสเซอร์แลนด์ โดยใช้ตั๋ว SWISS PASS มาต่อรถไฟที่ Zurich เพื่อจะเดินทางต่อไปที่ Salzburg ประเทศออสเตรีย ซึ่งตามตารางเวลาจะเห็นว่าอีกประมาณ 45 นาที รถไฟเที่ยวที่เราไปนั่งไปออสเตรีย ถึงจะออกจากชานชาลา ตอนนั้นเองที่หันไปขอความเห็นกับน้องสาวสุดที่รักว่า “เราวิ่งขึ้นไปดูเมืองหน่อยไหม ไหน ๆ ก็มาซูริคแล้ว” พยักหน้าพร้อมกัน แล้วตกลงกันว่ามีเวลาข้างบนนั้นแค่ 15 นาที !!! ไม่รอช้า รีบไปฝากกระเป๋า แล้วไปยังทางออกสถานีรถไฟ วิ่งขึ้นบันได อึดใจต่อมาภาพเมืองซูริคก็ปรากฏอยู่ข้างหน้าแล้ว

ซูริคในวันนั้น ท้องฟ้าใส

พอออกมาจากสถานีรถไฟ Zurich Main Station หรือ Zurich HB (ได้ยินเขาออกเสียงว่า ซูริคฮาฟบานฮูฟ) จะเห็นแม่น้ำเล็ก ๆ อยู่ด้านหน้าสถานี ข้างแม่น้ำนั้นก็เป็นถนน ซึ่งมีรถยนต์และรถรางวิ่งไปมา เราตัดสินใจวิ่งไปทางขวามือ ข้ามแม่น้ำไปอีกฝั่ง เพื่อเดินไปถ่ายรูปตรงสะพาน ซึ่งมองเห็นโบสถ์สูง ๆ และตึกสวย ๆ และคุยกันว่าให้รีบวิ่งข้ามสะพานเพื่อจะอ้อมกลับมาที่สถานีรถไฟ

วันนั้นอากาศเย็นกำลังดี ท้องฟ้าสดใส ผู้คนยิ้มแย้ม เราสองคนทั้งเดินเร็ว และวิ่งเลียบแม่น้ำ หยุดถ่ายรูปกลางสะพาน ถ่ายรูปตึกสวย ๆ ถ่ายรูปท้องฟ้าคู่กับยอดโบสถ์ที่ยังไม่รู้จักชื่อ ช่วงเวลาสั้น ๆ แต่มันมีความสุข สนุก และตื่นเต้นมากเลยนะ พอวิ่งกลับมาที่สถานีรถไฟ เราสองคนวิ่งไปล็อคเกอร์ที่ฝากกระเป๋า ช่วยกันลากกระเป๋าไปขึ้นรถไฟได้ทันเวลาแบบพอดิบพอดี

 It’s not about having time, it’s about making time

อย่างที่บอก เรามีเวลาแค่ 15 นาที แต่เราสองคนทำได้…เราได้รูปมาหลายสิบรูป และได้ความสุข สนุก และตื่นเต้น นึกในใจว่าทำไมความกระตือรือร้นที่ของการ making time มันไม่เกิดขึ้นตอนที่เราทำงานบ้างนะ ฮ่าฮ่า แต่ยังไงก็ตาม 15 นาที   ที่เกิดขึ้นวันนั้น กลับมาเตือนเราอยู่เสมอว่าไม่ว่าเราจะมีเวลามากหรือน้อยแค่ไหนก็ตาม ถ้าสิ่งนั้นเป็นเรื่องที่เราตั้งใจจะทำแล้วล่ะก็ เราย่อมทำได้ทันเวลาเสมอ…(เก็บไว้บอกตัวเองทุกครั้ง ที่หัวหน้าตามงาน)

เพราะซูริคไม่ได้อยู่ในแผนการเดินทางของเรา เป็นแค่จุดต่อรถไฟ เราเลยไม่ได้หาข้อมูลมาเลยว่าไฮไลท์ของที่นี่มีอะไรบ้าง จะว่าไปก็เสียดาย เราน่าจะแวะพักที่นี่ซักคืน เพราะหลังจากออกจากซูริค เรากูเกิลหาข้อมูลแล้วเจอที่เที่ยวน่าสนใจทั้งนั้นเลย ก่อนอื่นหาชื่อแม่น้ำหน้าสถานีรถไฟชื่อแม่น้ำลิปมัน (Limmatp) เป็นแม่น้ำที่ไหลผ่านเมืองซูริคและไหลลงสู่ทะเลสาบ Lake Zurich ที่อึ้งจนต้องร้องเห้ยคือ…ถัดจากสะพานที่เราถ่ายรูปไปอีกนิดก็คือทะเลสาบแล้ว น่าเสียดายมาก!!! นอกจากนั้นใกล้ ๆ เป็นย่านช้อปปิ้ง และมีเมืองเก่าที่น่าไปเดินเที่ยวชม โบสถ์สูงที่เราถ่ายรูปชื่อ Grossmuenster เป็นมหาวิหารหอคอยแฝดสไตล์โรมาเนสก์อันโด่งดัง มีมิวเซียม มีโรงละครโอเปร่า และอื่น ๆ เยอะมากจนคิดว่า…เก็บตังค์มาเที่ยวซูริคเถอะ..และแน่นอนว่าต้องมากกว่า 15 นาที!

24 ชั่วโมงใน Warsaw (ตอนที่ 2)

เมื่อตอนที่แล้วได้ปิดตอนด้วยการหาข้อมูลการเดินเที่ยวในวอร์ซอพร้อมกับจิบชาผลไม้ หอม ๆ อุ่น ๆ ไปแล้ว ก็เลยพอจะได้ข้อมูลมาบ้างแล้วว่า ในวอร์ซอร์เขาไปเที่ยวที่ไหนกัน ตรงไหนคือสถานที่ยอดนิยม และตรงไหนคือจุดที่พลาดไม่ได้ และเนื่องจากที่โปแลนด์หน้าหนาวจะมืดเร็วมาก เวลาสี่โมงห้าโมงเย็นนี่คือมืดยังกับเวลาสามสี่ทุ่ม เมื่อเป็นแบบนั้นจึงไม่ควรรอช้า รีบจัดแจงเสื้อโค้ท หมวก ถุงมือ และก็ไม่ลืมถุงร้อน (เพราะข้างนอกมันคงหนาวมาก) ออกไปเดินท่องราตรีในเมืองวอร์ซอกันเถอะ
เมืองใหม่และเมืองเก่า (New Town Vs Old Town)

นี่ถ้าไม่เปิดกูเกิล คงไม่รู้ว่าวอร์ซอว์แบ่งเป็นโซนเมืองใหม่ และเมืองเก่า ฝั่งเมืองใหม่คือแถวที่เดินผ่านมาจากสถานีรถไฟ มีตึกสำนักงานสมัยใหม่ ห้างสรรพสินค้า และตึกสูงยิ่งใหญ่ใกล้สถานีรถไฟ คือ Palace of Culture and Science (มีชื่อเล่นเป็นภาษาโปแลนด์ Pekin) ได้ยินมาว่าเป็นตึกที่รัสเซียมาสร้างไว้ แต่พอหาข้อมูลลึกไปอีกเขาก็บอกว่าโจเซฟ สตาลิน ผู้นำสหภาพโซเวียตสมัยนั้นมาสร้างเป็นของขวัญให้กับชาวโปแลนด์ระหว่างที่อยู่ภายใต้การควบคุมของสหภาพโซเวียตนั่นเอง ส่วนฝั่งเมืองเก่าจะเป็นย่านที่นักท่องเที่ยวมาเดินชมสถาปัตยกรรม โบสถ์ และพวกอนุสรณ์สงครามโลก ที่สำคัญเมืองเก่าที่นี่ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก โดยองค์การยูเนสโกอีกด้วย

Warsaw Old Town เมืองมรดกโลก

ดูจากแผนที่แล้วอยู่ไม่ไกลจากที่พักนัก เดินไปประมาณ 15 นาทีก็ถึงแล้ว พอเดินออกมาตรงถนนละอองฝนลอยคลุ้งไปหมด มีคนที่ท่าทางเหมือนนักท่องเที่ยวเดินอยู่ เลยเดินตามเขาไป เดินขึ้นเนินไปแป๊บเดียวก็เจอลานกว้าง ๆ ที่มีต้นคริสมาสต์ และมีเพื่อน ๆ นักท่องเที่ยวเดินเต็มไปหมด…ในที่สุดเราก็มาถึงแล้ว ย่านเมืองเก่าวอร์ซอว์อยู่ตรงนี้เอง

เนื่องจากเป็นช่วงปลายเดือนธันวาคม ควันหลงคริสมาสต์ก็เลยยังมีอยู่ ต้นคริสมาสต์ประทับไฟสวยดี ผู้คนเดินถ่ายรูปมุมนั้นทีมุมนี้ที ชอบตรงที่กลางลานมีแสดงดนตรีพวกเครื่องเป่าและเครื่องดีด ซึ่งเขาเล่นได้ไพเราะมากเลย พอเดินเข้าโบสถ์มักจะเจอป้ายโฆษณาคอนเสิร์ตแถวด้านหน้าโบสถ์ ซึ่งคืนนั้นเป็นงานแสดงเปียโนเพลงของโชแปง หันไปอีกฝั่งมีประวัติโชแปง พอได้ศึกษาถึงทราบว่าโชแปงเป็นบุคคลสำคัญมากของกรุงวอร์ซอ มีอนุสาวรีย์โชแปง อีกทั้งมีการนำชื่อโชแปงมาตั้งเป็นชื่อสนามบิน (Warsaw Chopin Airport) อีกด้วย นอกจากนี้เราจะสังเกตเห็นว่าชื่อสถานที่สำคัญ และชื่อนามสกุลวีรบุรุษสงครามที่ตั้งอนุสรณ์ไว้ในโบสถ์เกือบจะทุกคน ลงท้ายด้วย -ski ลองหาข้อมูลจึงถึงบางอ้อ ว่านามสุกลคนสมัยก่อนจะนิยมตั้งเพื่อบ่งบอกว่ามาจากถิ่นฐานไหน (-ski คงหมายถึงคนที่อยู่แถบประเทศโปแลนด์ คนโปแลนด์ถึงได้ตั้งนามกุลลงท้ายเหมือน ๆ กัน)

ความประทับใจในการเที่ยววอร์ซอครั้งนี้ คงเป็นความสวยงามของเมืองเก่า ช่วงเวลา เดินเล่นเพลิน ๆ ช้อปปิ้งเบา ๆ เน้นพวกของพื้นเมืองและของที่ระลึกน่ารัก ๆ เข้าร้านอาหารไปกินอาหารเย็นอร่อย ๆ  แล้วก็เดินชมแสงไฟระหว่างทางกลับโรงแรม และได้ตั้งชื่อโปแลนด์เล่น ๆ สำหรับคนชอบเดินทางว่า Travelimski…ทราเวลลิซึมสกี้

24 ชั่วโมงใน Warsaw (ตอนที่ 1)

เมื่อเสียงเพลงยุค 90 ดังคลออ้อยอิ่ง และข้างนอกฝนตกปรอย ๆ คนที่นอนกลิ้งไปมาบนที่นอน ซึ่งไถ twitter มาแล้วเกือบจะสองชั่วโมง นึกครึ้มอกครึ้มใจเปิดดูราคาตั๋วเครื่องบินไปยุโรป เปิดดูทั้งเว็บไซต์เอเจนซี่และเว็บไซต์ตรงสายการบิน เหมือนสวรรค์เข้าข้าง ตั๋วเครื่องบินของสายการบินแห่งชาติของประเทศเพื่อนบ้าน มีโปรโมชั่นลดราคาอยู่พอดี ไม่ต้องคิดอะไรมาก กดจองและจ่ายเงินเลยแล้วกัน ถัดมาอีกสองเดือน ได้มายืนอยู่หน้าสถานีรถไฟในกรุงวอร์ซอว์ ประเทศโปแลนด์ ความรู้สึกเหมือนวาร์ปมาจากวันที่กดจองตัวเครื่องบิน เพราะเวลาผ่านมาเร็วมาก มาถึงโปแลนด์แบบงง ๆ โดยโจทย์สำคัญคือมีเวลาอยู่ในวอร์ซอว์แค่ 1 วัน เพราะพรุ่งนี้ดันซื้อตั๋วเครื่องบินไปปารีสไว้แล้วซะงั้น ที่ตกตบหน้าผากตัวเองแรง ๆ คือไม่ได้หาข้อมูล Warsaw ไม่รู้เรื่องอะไรเลย…นี่เราทำอะไรลงไป?! เอาล่ะ…ก่อนอื่นต้องตามหาที่พัก

ทุลักทุเล เหน็ดเหนื่อย เหน็บหนาว ชื้นแฉะ

เนื่องจากเป็นช่วงเดือนธันวาคม เป็นฤดูหนาว ซึ่งอากาศหนาวมาก หนาวไปถึงกระดูกข้อมือเลย แถมวันนี้ฝนยังตกปรอย ๆ จึงทั้งหนาวทั้งเฉอะแฉะ สังเกตเห็นว่ามีรถเมล์หลายสายวิ่งผ่านไปมาหน้าสถานีรถไฟ แต่ไม่รู้ว่าจะนั่งสายอะไร (บอกแล้วว่าไม่มีข้อมูลอะไรในหัวเลย) เลยปิดแผนที่ กูเกิลนำทางไปที่พัก เมื่อแอพพลิเคชั่นบนมือถือบอกว่าโรงแรมที่จองไว้อยู่ห่างจากพิกัดที่ยืนอยู่ประมาณ 2 กิโลเมตร ก็เลยตัดสินใจ….เดินไป

เดินลากกระเป๋าไปท่ามกลางสายฝนพรำ ผ่านตึกสูงโดดเด่น (ซึ่งไม่รู้ว่าตึกอะไร รู้แต่ว่ามันน่าจะเป็นแลนมาร์คสำคัญของวอร์ซอว์ เพราะมันดูสวยและยิ่งใหญ่มาก) ถัดจากตึงสูงใหญ่ ข้ามถนนเดินเลียบตึก ผ่านห้างสรรพสินค้า เข้าสู่ถนนเส้นเล็ก ๆ ผ่านสวนเล็ก ๆ มีร้านกาแฟ และร้านขายของที่ระลึกน่ารั…นี่ถ้าไม่หนาวเข้ากระดูก คงมีอารมณ์ชื่นชมสองข้างทางและดื่มด่ำความเป็นวอร์ซอว์ได้มากกว่านี้ !

ในที่สุดก็ถึงที่พัก

ที่พักจองเป็นแบบโฮสต์เทล ไม่มีเจ้าหน้าที่คอยให้บริการ จึงต้องบริการตัวเองตั้งแต่หาทางเข้าให้เจอ หาวิธีเปิดประตู และหาห้องพัก แต่…เฮ้ย!! ทำไมประตูเปิดไม่ได้?! เหลือบไปเห็นที่ใส่รหัส…ต้องใช้รหัสสินะ เลยนึกขึ้นได้คลับคล้ายคลับคลาว่ามีอีเมล์จากโรงแรมส่งมาเรื่องการเชคอิน พอเปิดเมล์จึงถึงบางอ้อ สรุปว่ามีเลขรหัส 3 ชุด คือรหัสเปิดประตูข้างนอก ประตูข้างในอีกชั้นนึง และรหัสเปิดประตูห้องนอน และแล้วก็ลืมว่าเพิ่งผ่านความเหน็ดเหนื่อย เหน็บหนาว ชื้นแฉะ เพราะห้องนอนน่ารักมาก (มีห้องนอนแบบห้องใครห้องมันประมาณ 5 ห้อง) ห้องน้ำรวมมี 2 ห้อง และชั้นใต้ดินมีห้องครัว ไปลองสำรวจดูมีของกินตู้เย็น กาแฟและชาผลไม้ มีชุดเครื่องครัวทำกับข้าวกินเองได้ โห…มันดีมากเลย

เมื่อเจออะไรดี ๆ กระบวนการคิดของคนเรามักจะเริ่มทำงาน สิ่งที่น่าสนใจในวอร์ซอคงหนีไม่พ้น สถาปัตยกรรม พวกตึกเก่า อนุสรณ์และประวัติศาสตร์สงคราม ความจริงมีหนังขึ้นหิ้งที่มีเรื่องราวเกี่ยวกับสงครามโลกครั้งที่ 2 ซึ่งมีฉากในประเทศโปแลนด์หลายเรื่อง เช่น The Pianist, The Boy in the Striped Pajamas, Schindler’s List ดังนั้น เพื่อให้การเดินทางข้ามน้ำข้ามทะเลครั้งนี้คุ้มค่า กับเวลาและเงินจ่ายไป คงต้องหาข้อมูลเพิ่มเติม ว่าแลนด์มาร์คและจุดไฮไลท์ของวอร์ซอคืออะไรและตั้งอยู่ตรงไหนบ้าง เอาล่ะ…มาสร้างความฟินในเวลาสั้น ๆ ด้วยการชงชาอุ่น ๆ ไปนอนดริงค์ชิลล์ ๆ ในห้องและพร้อมกับหาข้อมูลการเดินเที่ยวในวอร์ซอว์กันเถอะ


ร้านอาหารง่าย ๆ สำหรับสายเที่ยวแบบติดดิน ราคาไม่แพง ในเมืองเชียงใหม่

มาเชียงใหม่ก็บ่อย อาหารการกินมักจะฝากท้องกับโรงแรม บางทีก็กินร้านข้างถนนง่าย ๆ ก็อร่อยดี บางคราวก็อยากกินร้านดังที่เขารีวิวสี่ดาวห้าดาวบ้าง งั้นมาดูกันว่า 4 ร้านในดวงใจของเรา ที่มาเชียงใหม่ทีไรต้องมากินให้ได้ มีที่ไหนกันบ้าง

1. ฮ้านถึงเจียงใหม่ รู้จักที่นี่ ก็เพราะเพื่อนพามา พอเห็นร้านแล้วก็ร้องเฮ้ย! ร้านเล็ก ๆ น่ารักมาก พอมาดูเมนูก็มีให้เลือกเยอะ เป็นอาหารเมืองทั้งนั้นเลย หน้าตาอาหารแปลกตา รสชาติก็ไม่ค่อยคุ้นเคย พอมาหลายครั้งเข้าก็จดจำเมนูที่เรารู้สึกว่ากินแล้วอร่อยและจากนั้นก็สั่งทุกครั้ง เช่น ชุดออเดิร์ฟเมือง ลาบหมูคั่ว แกงโฮะ แกงแค แหนมหมกไข่ แล้วก็มีเมนูที่เพื่อนชอบกินพวก แกงเห็ดถอบ คั่วเห็ดถอบ แกงฮังเล แกงผักหวานไข่มดแดง จะบอกว่าอาหารจานไม่ใหญ่มาก สั่งหลายอย่างก็ได้ชิมหลายอย่าง ฮ่า ๆ ครั้งล่าสุดที่ไปเขาขยายร้าน มีโต๊ะเพิ่มเยอะเลย แต่รสชาติอาหารยังน่าประทับใจเหมือนเดิม ร้านเปิดทุกวัน หาไม่ยาก อยู่แถวหลังมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ พอเลี้ยวเข้าซอยวัดอุโมงค์ อีกแปบเดียวก็เจอร้านอยู่ขวามือ

2. ช้างม่อยกาแฟ เป็นร้านก๋วยเตี๋ยวเจ้าเก่า เขาว่ากันว่ามีมานานแล้ว ร้านบ้าน ๆ บรรยากาศร้านก็ปลอดโปร่ง ไม่อึดอัดเหมือนร้านก๋วยเตี๋ยวเจ้าดังทั้งหลาย โดยเมนูเด็ดคือ ก๋วยเตี๋ยวเนื้อ มาทีไรก็ต้องสั่งจริง ๆ ร้านตั้งอยู่ถนนราชวิถี หน้าโรงเรียนยุพราชวิทยาลัย ตำบลศรีภูมิ อำเภอเมืองเชียงใหม่ เปิดทุกวันเลย ลืมบอกไปว่าชื่อร้านช้างม่อยกาแฟ แต่เมนูหลักที่ขายคือก๋วยเตี๋ยวนะ

3. ร้านสุกี้ช้างเผือก (ก๋วยเตี๋ยวโคคา) ร้านนี้หัวหน้าพามากินตอนที่เดินทางมาทำงานที่เชียงใหม่ ระหว่างรอขึ้นรถแดงไปสนามบิน เลยแวะกินสุกี้รองท้องก่อน ปรากฎว่าสุกี้อร่อยมาก หอมกลิ่นที่เกิดจากการผัดวัตถุดิบในกระทะที่ร้อนจัด ผักกรอบ น้ำจิ้มเด็ดมาก มันอร่อยจริง ๆ นะ ก็เลยติดใจ พอมีโอกาสได้มาเชียงใหม่เมื่อไหร่ ก็จะมากินทุกที แต่ที่ต้องทำใจคือ บางวันจะคิวยาวมาก สังเกตได้ว่าคนเชียงใหม่แท้ ๆ นี่แหล่ะที่มายืนต่อแถวซื้อกลับบ้านกัน ส่วนเราต้องยืนรอโต๊ะว่างกันเลยทีเดียว ร้านนี้เป็นร้านแบบรถแพงลอยอยู่ที่ตลาดโต้รุ่ง ประตูช้างเผือกจ้า

4. ต๋องเต็มโต๊ะ ร้านนี้เป็นร้านอาหารเหนือและมีเมนูอาหารทั่วไปด้วย จัดร้านมีความชิคแบบสมัยใหม่อยู่ด้วย เป็นร้านค่อนข้างดัง นักท่องเที่ยวจีน เกาหลีมากินกันเยอะ แต่ที่เราชอบมากินเพราะเรามักจะพักโรงแรมหรือโฮสเทลแถวถนนนิมมาน เดินจากที่พักมาแปบเดียวก็ถึงร้าน เมนูที่สั่งบ่อยก็อย่างเช่น จิ้นส้มหมกไข่ ปีกไก่ทอดน้ำปลา ผัดผักเชียงดาใส่ไข่ ชุดออเดิร์ฟเมือง ลาบหมูคั่ว ผัดผักหวานใส่ไข่ ร้านเปิดทุกวัน ตั้งอยู่ที่ถนนนิมมานเหมินทร์ ซอย 13 ตำบลสุเทพ อำเภอเมืองเชียงใหม่เจ้า


ครั้งหน้าหากมาถึงเชียงใหม่แล้ว แต่คุณเบื่อกับร้านเดิม ๆ หรือยังไม่ได้เลือกร้านอะไรไว้เลย ลองไปตามที่เราแนะนำนี้ รับรองว่าเด็ดจริง

เชียงใหม่ ไปกี่ครั้ง ก็ไม่เบื่อ

การไปเชียงใหม่ครั้งแรกนั้น…มันนานมาแล้ว นานจนจำความรู้สึกครั้งนั้นไม่ได้ เป็นการไปทัศนศึกษาโดยจุดหมายปลายทางที่ทุกคนตั้งตารอที่จะไปให้ถึงคือ งานพืชสวนโลก เป็นสถานที่ที่เต็มไปด้วยพรรณไม้แปลกตาจากทุกมุมโลก มีจุดจำลองศิลปะวัฒนธรรมที่เราไม่เคยเห็น มีนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติเดินขวักไขว่วุ่นวายเต็มไปหมด ใครก็ว่าเชียงใหม่เมื่อสิบกว่าปีที่แล้วมีมนต์ขลังและน่าประทับใจกว่าทุกวันนี้หลายเท่านัก แต่อาจเป็นเพราะตอนนั้นเรายังเด็กเลยไม่ได้สนใจสิ่งรอบตัวเท่าไหร่นัก กระแสการเสพความชิล ความชิคที่เป็นแฟชั่นของหนุ่มสาวสมัยนี้น่ะเหรอ ลืมไปเลย ตอนนั้นเราไม่อินกับอะไรแบบนี้ซักนิด

เวลาผ่านมา เราทำความรู้จักกับเชียงใหม่ในอีกมุมหนึ่ง เพราะสื่อและโซเชียลเน็ตเวิร์กทำให้เราได้ข้อมูลเพิ่มเติมมากขึ้น เรากลับไปฟื้นความทรงจำสมัยเรียนว่าเชียงใหม่คือ “อาณาจักรล้านนา” ที่ปกครองโดยราชวงศ์มังราย และหากใครยังจำเรื่อง ผู้ชนะสิบทิศในบทเรียนภาษาไทยสมัยมัธยมล่ะก็ จะบอกว่าพระเอกเรื่องนี้คือพระเจ้าบุเรงนอง กษัตริย์พม่าที่ยกทัพมายึดเมืองเชียงใหม่โดยใช้เวลาเพียง 3 วัน นอกจากเรื่องประวัติศาสตร์ เชียงใหม่ยังถูกกล่าวถึงว่าเป็นที่ตั้งของภูเขาที่สูงที่สุดในประเทศไทย เป็นจังหวัดที่มีโครงการหลวงกระจายอยู่เต็มไปหมด ถูกยกขึ้นมาเป็นสถานที่อ้างอิงในนิยายและละครโทรทัศน์เรื่องดังหลายเรื่อง มีร้านอาหารและร้านกาแฟชิล ๆ ชิค ๆ ซ่อนตัวอยู่ในมุมทั่วเมือง ฉากสุดโรแมนติกชวนฝันเมื่ออากาศหนาวเย็นกำลังดีและท้องฟ้าก็เต็มไปด้วยแสงไฟจากโคมที่หนุ่มสาวได้ปล่อยขึ้นสู่ฟ้าในคืนวันลอยกระทง

เมื่อเราได้มาเชียงใหม่เป็นครั้งที่สอง…มันกลับให้ความรู้สึกเหมือน นี่คือการมาเชียงใหม่ครั้งแรก (เฮ้ย! นี่มัน My First Time Again!!!) ถึงแม้จะมีความเป็นเมืองท่องเที่ยวเพราะเต็มไปด้วยชาวต่างชาติ ทั้งยุโรป อเมริกา ตะวันออกกลาง เอเชีย (โดยเฉพาะจีน เกาหลี) และแม้จะรถติดเหมือนกรุงเทพฯ แต่มันมีอะไรบางอย่างที่ให้ความรู้สึกแตกต่าง เหมาะกับการมาใช้เวลาขลุกอยู่ที่นี่ซักเดือนละสองสามวัน มีสถานที่ให้ไปสิงสถิตเยอะแยะเลย ทั้งสายบุญ สายชมเมือง สายท่องราตรี สายธรรมชาติป่าเขาลำเนาไพร และสายสโลว์ไลฟ์ที่เป็นแฟชั่นมาแรงในหมู่หนุ่มสาวอินดี้ทั้งหลาย

ในเมื่อเชียงใหม่ที่เที่ยวเยอะขนาดนี้ มาครั้งเดียวไม่พอหรอก เราวางแผนมาเชียงใหม่ในเวลาถัดมาไม่นานนัก เราใช้เวลาครึ่งวันเดินชมวัดและพิพิธภัณฑ์ในเมือง จากนั้นก็ไปบุกร้านกาแฟ ดื่มดำรสชาติกาแฟ เค้ก และขนมหวานในร้านดังที่ใครต่างก็แนะนำ ตกค่ำเราเดินถนนคนเดินช้อปปิ้งสินค้าท้องถิ่นและของกินพื้นเมือง และเนื่องจากเราชื่นชอบช่วงเวลาที่ได้ขลุกตัวอยู่ที่ไหนซักที่ เราจึงเลือกร้านกาแฟแนวล้านนาที่มีทั้งโซนห้องแอร์และโซน open air สั่งกาแฟและอ่านหนังสือเล่มโปรดจนถึงเย็น

ครั้งต่อมาเราเลือกจะเที่ยวแนวธรรมชาติ เลยจองที่พักโครงการหลวงดอยอินทนนท์ไป และเลือกใช้บริการรถแดงและ   รถเหลืองของเมืองเชียงใหม่ พอถึงโครงการหลวงก็ได้เดินชมดอกไม้ใบหญ้าทั้งวัน ที่พักเงียบสงบ บรรกาศดีมาก พอตื่นเช้าก็ได้กินอาหารเช้าที่ทำจากผลผลิตโครงการหลวงที่สด ใหม่ อร่อยสุด ๆ ติดใจเที่ยวสายธรรมชาติจนต้องจัดทริปเชียงใหม่อีกหลายครั้ง

เราเดินทางไปแต่ละครั้ง แต่ละที่ ไม่เหมือนกันเลย ตอนนี้เชียงใหม่กลายเป็นจังหวัดที่เราไปบ่อยที่สุดรองจากจังหวัดบ้านเกิดตัวเอง และก็ยังมีที่ที่ยังไม่ได้ไปและอยากไปอีกเยอะเลยล่ะ ทั้งอ่างขาง สะเมิง เชียงดาว และยังคิดว่าถ้ามีเวลาว่าง ๆ จะหาวันไปเดินสำรวจแถววัดอุโมงค์ และตระเวนกินอาหารเมืองร้านอร่อยให้ครบทุกร้านเลย

เตรียมตัวอย่างไร ก่อนไปดำน้ำครั้งแรกในชีวิต

ท่ามกลาง New Feed บน Timeline ของ Facebook เพื่อนของคุณได้โพสต์ภาพดำน้ำอย่างสนุกสนาน ภาพต่อมาคุณอาจจะเห็นปะการังน้ำตื้นสีสวยแปลกตา และภาพต่อมาคุณจะได้เห็นฝูงปลาตัวเล็กตัวน้อยที่แหวกว่ายไปมาในน้ำทะเลสีฟ้าสดใส คุณอาจจะคิดว่า เอ…ดำน้ำนี่เขาดำกันยังไง? ที่เห็นนี่ใช่ดำน้ำตื้นใช่ไหม? ต้องเตรียมอะไรไปบ้างหว่า? แพงไหม? ไปดำน้ำนี่มีดีตรงไหน? สารพัดคำถามที่อาจจะเกิดขึ้นในหัวของคนที่ยังไม่เคยดำน้ำซักครั้งในชีวิต แล้วคุณรออะไร…ไปลองให้รู้กัน ถ้าตัดสินใจได้แล้ว เรามาเตรียมตัวเพื่อไปดำน้ำครั้งแรกในชีวิตกันเถอะ

1. เลือกสถานที่ดำน้ำของคุณ

ก่อนอื่นเลย ต้องหาข้อมูล ดูซิ…ที่ไหนสวย ที่ไหนดี และอย่าลืมดูเงินในกระเป๋าด้วย

– ใกล้กรุงเทพมหานคร เช่น เกาะขาม เกาะแสมสาร อำเภอสัตหีบ จังหวัดชลบุรี เกาะล้าน จังหวัดระยอง

– ไกลออกมาหน่อย เช่น เกาะช้าง เกาะกูด จังหวัดตราด เกาะเสม็ด จังหวัดระยอง เกาะทะลุ จังหวัดประจวบคีรีขันธ์

– ไกลแต่สวยมาก ก็ต้องเป็นฝั่งทะเลอันดามัน นั่งเครื่องบินไปต่อเรือสะดวกดี เช่น หมู่เกาะสุรินทร์ หมู่เกาะสิมิลัน เกาะเต่า เกาะหลีเป๊ะ เป็นต้น

2. หาข้อมูลทัวร์

ส่วนใหญ่จะมีทัวร์แบบ one day trip หรืออาจมีทริปแบบหลายวันแล้วแต่สถานที่ เมื่อพอจะมีทัวร์เข้าตา ก็ลองดูข้อมูลการรีวิวทัวร์ของบริษัทที่เราสนใจจากเว็บไซต์ท่องเที่ยว บอร์ดสาธารณะ หรือพวก page ท่องเที่ยวบนเฟสบุ๊ค ดูซิว่าคนที่ใช้บริการมาแล้วประทับใจไหม ลองเปรียบเทียบดูหลาย ๆ ที่ เราเลือกทัวร์ที่เราถูกใจ…พร้อมเดินหน้า step ต่อไปได้เลย

3. วางแผนการเดินทางและจองเลย

เมื่อเลือกทัวร์ได้แล้ว ทีนี้ก็มาเลือกช่วงวันเดินทาง แวบเข้าไปดูราคาตั๋วรถหรือตั๋วเครื่องบินซิ ช่วงไหนราคาถูก ที่พักล่ะราคาโอเคไหม ลองโทรไปสอบถามบริษัททัวร์ด้วยว่าช่วงที่เราจะไปทัวร์เต็มหรือไม่ เมื่อทุกอย่างลงตัว ก็ลงมือจองเลย

– จองตั๋วเครื่องบิน เปรียบเทียบราคาของแต่ละสายการบิน ถ้าไม่อยากไปไล่ดูทีละสายการบิน ก็มีเว็บไซต์เอเจนซีเทียบราคาให้ เช่น expedia, cheapticket, skyscanner

– จองที่พัก ก็มีเว็บไซต์เอเจนซีเช่นกัน เช่น booking, agoda, traveloka, expedia หรือจะจองที่เว็บไซต์ตรงของโรงแรม หรือบางแห่งอาจให้โทรไปจองก็ได้

– จองทัวร์ ตรวจสอบเงื่อนไขของทัวร์ที่เราเลือกให้ดี แล้วจองเลย!!!

4. เตรียมตัวก่อนเดินทาง

ใกล้ถึงวันแล้ว ก็ชักจะตื่นเต้นแล้วสิ ยังไงก็อย่าลืมเตรียมอุปกรณ์ไปให้ครบ เผื่อไว้ด้วย เบื้องต้นก็มีประมาณนี้

เสื้อผ้า เตรียมไปให้พอดีและเหมาะกับสภาพอากาศ อย่าลืมว่าไปดำน้ำขึ้นมาต้องเปียกแน่นอน และถ้าเป็นทัวร์ที่ต้องนั่งรถตู้กลับที่พัก ควรเตรียมชุดไปเปลี่ยนด้วย ทั้งนี้เพื่อความสบายตัวด้วยจ้า

ของใช้ส่วนตัว เตรียมไปให้ครบจะดีที่สุด เพราะถ้าหวังไปซื้อที่โน้น อาจจะมีแต่แบบอัพราคาจนเราทำใจซื้อไม่ได้

กล้องถ่ายรูป ถ้ามีกล้องถ่ายใต้น้ำด้วยยิ่งเจ๋งไปเลย

แว่นกันแดด แดดที่ทะเลเวิ้งว้างมันแรงมาก ๆ เลยนะ ถ้าไม่อยากหยีตาตลอดเวลา แนะนำให้หาแว่นกันแดดคูล ๆ ติดไปซักอัน

ครีมกันแดด นี่ไม่ใช่แนะนำเฉพาะคุณผู้หญิงนะ ผู้ชายก็ต้องใช้เพราะแดดมันแรงและแผดผิวจนแสบร้อนเลยล่ะ

– อย่าลืมหาข้อมูลที่กินของอร่อย ๆ ไว้ด้วยนะ

จากนั้นก็รอวันไปดำน้ำได้เลย มันจะรู้สึกยังไงน่ะเหรอ…ได้ยินแต่เสียงหายใจของตัวเอง จะได้สัมผัสช่วงเวลาที่โลกนี้มีแต่เรากับฝูงปลา อ่า…มันดีมาก บอกเลย!!

Your First Solo Trip ทริปแรกกับการเดินทางท่องเที่ยวคนเดียว (ตอนที่ 2)

ในเมื่อหัวใจมันเรียกร้อง ให้เราออกเดินทางไปท่องโลกกว้างคนเดียว อะไรก็ฉุดไม่อยู่แล้ว และเมื่ออยากไปขนาดนี้แล้ว จะรออะไรอีกเล่า !!

ไปสร้างความคุ้นเคยกับความเหงา

แน่นอน…เราไปคนเดียวนะ ถึงจะอยากฉายเดี่ยวหรืออยากลุยคนเดียวแบบอินดี้แค่ไหนก็เถอะ ความเหงามันเกิดขึ้นได้ตลอดนั่นแหล่ะ จากที่เคยมากับเพื่อน ได้พูดคุย สนุกสนาน พอมาคนเดียว อะไร ๆ ก็ต้องทำคนเดียว เดินคนเดียว กินข้าวคนเดียว รูปที่ถ่ายส่วนใหญ่ก็จะเป็นรูปวิว ทิวทัศน์ หรือบรรยากาศรอบ ๆ ส่วนรูปตัวเองน่ะเหรอ…กว่าจะโผล่มาซักรูป เพราะต้องทำใจกล้าไปขอให้คนเขาถ่ายให้ แต่ถึงจะเป็นอย่างนั้น การอยู่คนเดียวมันก็ไม่ได้เลวร้ายไปซะทุกอย่างนะ พอได้อยู่คนเดียวแบบเหงา ๆ …เวลาแบบนั้น มันกลับทำให้เราได้ใช้ความคิดมากขึ้น ได้สำรวจตัวเอง ได้คิดถึงเรื่องราวต่าง ๆ ได้ลึกซึ้งมากขึ้น บางทีพอกลับจากการเที่ยวคนเดียว เราจะพบว่าช่วงเวลาที่เราจดจำได้ดีที่สุดคือตอนที่เรานั่งเหงา ๆ อยู่คนเดียวก็ได้ และมันก็อาจเป็นช่วงเวลาที่เราชอบและประทับใจที่สุดในการเดินทางครั้งนั้นก็ได้เหมือนกัน…ใครจะไปรู้

ความเป็นผู้ใหญ่ที่ค่อย ๆ ก่อตัวขึ้น

พอได้ทำอะไรคนเดียว สิ่งที่เราต้องทำซึ่งหลีกเลี่ยงไม่ได้ คือ ต้องวางแผนชีวิตและจัดการทุกอย่างด้วยตัวเอง แน่นอน…เราต้องตัดสินใจเองทุกขั้นตอนตั้งแต่เลือกวิธีการเดินทาง ไปพักที่ไหน จองที่พักผ่านเว็บไซต์หรือโทรไปจองกับเจ้าของโรงแรมหรือจะเสี่ยง walk in เผื่อได้ราคาถูก จะซื้อทัวร์ท้องถิ่นหรือจะลุยเองไม่ง้อทัวร์ ถ้าอยากลองเที่ยวเวลากลางคืนด้วยต้องไปแบบไหนถึงจะปลอดภัย ทุกอย่างที่ว่ามาล้วนต้องมีการหาข้อมูล ตัดสินใจเลือกทางเลือกที่ดีที่สุด และวางแผนเป็นขั้นเป็นตอน ทักษะพวกนี้ล้วนเป็นส่วนประกอบที่จะทำให้เรามีความคิดแบบผู้ใหญ่ ทำให้เราเติบโตขึ้น สามารถพึ่งตนเอง และวางแผนจัดการชีวิตได้ดียิ่งขึ้นด้วย

ประสบการณ์แปลกใหม่ที่คนอื่นไม่มี

สิ่งที่เราได้แน่นอนจากการเดินทางก็คือประสบการณ์นี่แหล่ะ เราอาจจะมีเรื่องผิดพลาดจากครั้งแรก แต่เราย่อมนำบทเรียนนั้นไปใช้ในการเดินทางครั้งต่อไป และพึงระลึกเสมอว่าไม่มีอะไร perfect เราย่อมต้องเจอทั้งเรื่องดีและเรื่องไม่ดี อย่ามัวรู้สึกนอยด์กับความผิดพลาดเล็กน้อยที่เกิดขึ้นระหว่างทาง แต่จงเตรียมใจที่จะยอมรับและให้คิดว่าทุกอย่างล้วนเป็นประสบการณ์ อยากให้นึกถึงคำขวัญที่เกี่ยวกับจุดหมายในชีวิต จากภาพยนตร์เรื่อง The Secret Life of Walter Mitty เราจะได้ฉุดคิดและเข้าใจความหมายของการเดินทางมากขึ้น

Your First Solo Trip ทริปแรกกับการเดินทางท่องเที่ยวคนเดียว (ตอนที่ 1)

เมื่อวันหนึ่ง เราเกิดความรู้สึกอยากพักผ่อนมาก ๆ อยากไปไหนก็ได้ที่อากาศดี ๆ มีธรรมชาติสวย ๆ มีอาหารอร่อย     มีบรรยากาศแปลกหูแปลกตา จนอดใจไม่ไหวที่จะเอ่ยปากชวนเพื่อนสนิทไปด้วยกัน แต่ช่วงนี้เพื่อน ๆ งานยุ่ง ติดธุระโน่นนี่นั่นมากมาย คำตอบที่ได้จึงหนีไม่พ้น “รอปลายปี ไหม” หรือ “ขอเวลาเคลียร์งานและเก็บตังค์ก่อนดิ” หรือไม่ก็ “แกชวนเอกับบีสิ เห็นมันเคยบอกอยากไปเที่ยวทะเล”

“เราไม่รอใครแล้วนะ เราอยากไป เราก็จะไป”

แต่ปัญหาอย่างเดียว คือ ไม่เคยไปเที่ยวคนเดียวเลย

มันจะอันตรายหรือเปล่า?

ต้องเตรียมตัวยังไงบ้างนะ?

จะดูแปลกหรือเปล่านะ ใคร ๆ เขาคงไปเที่ยวเป็นกลุ่ม เป็นแก๊งค์ หรือไปเป็นคู่กันทั้งนั้นแน่เลย

ต้องเดินคนเดียวเหงา ๆ แน่เลย

หรือจะไปไปดี

หากมีก้าวแรก ก้าวที่สองสามจะตามมา

ถ้ามัวแต่กังวล และยึดติดกับความคุ้นชินแบบเดิม ๆ เราจะไม่มีโอกาสได้พบกับประสบการณ์ใหม่ ๆ เลย ดังนั้นลองก้าวข้ามคำถามและความกังวลเหล่านั้น แล้วก้าวออกไปเผชิญโลกพร้อมกับจินตนาการภาพที่ได้เดินทางด้วยความตื่นเต้น เก็บเกี่ยวความรู้สึกเวลาได้เดินผ่านสถานที่ต่าง ๆ และถามตัวเองว่าเรารู้สึกแบบไหนเมื่อได้พบเห็นรอยยิ้มของเพื่อนร่วมทางที่ไม่เคยรู้จักกัน โมเม้นไหนที่เราชอบและอยากใช้เวลาดื่มด่ำกับมันที่สุดตลอดการเดินทาง โมเม้นแบบนั้น จะทำให้เราคิดคำเฉพาะขึ้นมา…… “ติดใจ”…… เราจะติดใจช่วงเวลาแบบนั้น และการเดินทางครั้งต่อไป เราจะไม่พลาดเลยที่จะเก็บโมเม้นแบบนั้น ในทุกที่ที่เราไป

ฝึกตัวเองให้สื่อสารและหาเพื่อนใหม่

สิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้เมื่อเดินทางคนเดียว คือ เราจำเป็นต้องพูดคุยกับคนแปลกหน้า ทั้งการถามข้อมูลรายละเอียดตั๋วรถไฟ รถบัส รถสองแถว เรือข้ามฝาก เรือนำเที่ยว ถามถึงที่พัก โรงแรม โฮสเทล ร้านอาหารขึ้นชื่อ ร้านอาหารพื้นเมือง เหล่านี้ล้วนต้องถามจากเจ้าหน้าที่ที่ให้บริการและจากผู้คนพื้นถิ่นหรือแม้แต่คนเดินทางท่องเที่ยวด้วยกัน สิ่งที่อยากบอกคือ นี่คือโอกาสที่เราจะได้เรียนรู้วิธีสื่อสารกับผู้คนรอบข้าง ได้ฝึกการตั้งคำถาม ฝึกการพูดและการเลือกใช้ถ้อยคำ เพราะคนต่างกลุ่มเราอาจต้องใช้วิธีการพูดที่แตกต่างกัน ทักษะแบบนี้จะเกิดขึ้นและติดตัวเราไป ซึ่งเอาไปใช้ได้ทั้งชีวิตส่วนตัวและในชีวิตการทำงาน

นอกจากนี้ ในบางสถานการณ์เราอาจจะต้องเป็นคนให้คำตอบ ต้องมีซักครั้งที่มีคนเดินเข้ามาถามเรา บางอย่างเราให้คำตอบได้ บางอย่างเราไม่รู้คำตอบแต่พอจะรู้ว่าเขาจะหาคำตอบจากที่ไหน แต่บางเรื่องเราเองก็มืดแปดด้านเหมือนกัน เหตุการณ์แบบนี้มักจะนำพาให้เราได้เพื่อนใหม่ (ส่วนใหญ่จะเป็นนักเดินทางหรือ Backpacker ชาวต่างชาติที่มักเดินทางคนเดียว) แค่เรากล้าที่จะเปิดพื้นที่ส่วนตัวให้เพื่อนร่วมทางได้เข้ามาแลกเปลี่ยนข้อมูล เรื่องราว มุมมอง ความคิดเห็น เผลอ ๆ เราจะได้คนชอบเที่ยวสไตล์เดียวกันเพิ่มมาเป็นเพื่อนซี้คนใหม่ก็ได้

เอาเข้าจริง เมื่อเราได้ยินเสียงเรียกร้องของการเดินทาง เราคงไม่ต้องให้ใครมาบอกเหตุผลจูงใจอะไรมากมาย แต่สำหรับบทความนี้ เป็นเพียง Intro สั้น ๆ ที่จะสร้างแรงบันดาลใจให้คุณอยากเดินทางท่องเที่ยวคนเดียว ซึ่งในบทความต่อไป เราจะมาแบ่งปันกันต่อใน Your First Solo Trip ทริปแรกกับการเดินทางท่องเที่ยวคนเดียว : ตอนที่ 2” ซึ่งจะพูดคุยกันในเรื่องของการสร้างความคุ้นเคยกับความเหงา ความเป็นผู้ใหญ่ที่ค่อย ๆ ก่อตัวขึ้น และประสบการณ์แปลกใหม่ที่คนอื่นไม่มี  รอติดตามกัน…อีกไม่นาน