มาทำความรู้จักมหาพีระมิดแห่งกีซา 1 ในสิ่งมหัศจรรย์ของโลกที่ต้องได้ไปเห็นสักครั้ง

มหาพีระมิดแห่งกีซา (Pyramid of Giza) เป็น 1 ใน 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลกที่มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์และมีความยิ่งใหญ่อย่างมากและว่ากันว่าหากมีโอกาส เราไม่ควรจะพลาดไปเยี่ยมชมสักครั้งในชีวิต เราจะพาทุกคนมาทำความรู้จักมหาพีระมิดที่ตั้งอยู่ในเมืองเมืองกีเซ่ห์แห่งอียิปต์แห่งนี้ให้มากขึ้น ซึ่งจะทำให้คุณวางแผนไปเที่ยวที่นี่ได้ดีขึ้นและมีรสชาติ ยากที่จะลบเลือน

พีรามิดอียิปต์ สิ่งล้ำค่าจากประวัติศาสตร์ที่มีอายุกว่า 5,000 ปี

เราอาจจะคุ้นชินภาพของพีรามิดอียิปต์ที่ตั้งอยู่ด้วยกัน 3 หลัง แต่มหาพีระมิดแห่งกีซาจะเป็นพีรามิดหลังที่ใหญ่ที่สุด เป็นพีรามิดฟาโรห์คูฟู (Khufu) ซึ่งเป็นฟาโรห์ในยุคราชวงศ์ที่ 4 ใช้เวลาสร้างถึง 20 ปี และมีความสูงเกือบ 500 เมตร (ความสูงจะถูกกัดกร่อนลงมาทุกปีจากลมทะเลทรายและสภาพอากาศที่รุนแรง จนตอนนี้ความสูงเหลือประมาณ 400 เมตรแล้ว) ส่วนพีรามิดอีก 2 หลังที่เหลือจะเป็นพีรามิดคาเฟร (Khafre) และพีรามิดเมนคาอูเร (Menkaure) โดยพีรามิดทั้ง 3 หลังตอนนี้ก็มีอายุกว่า 5,000 ปีแล้ว ด้วยความที่เก่าแก่อย่างมากและมีคุณค่าทางประวัติศาสตร์ ทางการอียิปต์จึงได้มีการสร้างยอดพีรามิดจำลองทำจากโครงเหล็กขึ้นมาให้มีความสูงเท่ากับยอดจริงในอดีต

การสร้างมหาพีรามิด ความลับที่แสนยิ่งใหญ่ของขาวอียิปต์โบราณ

มหาพีรามิดกีซ่าเป็นสิ่งปลูกสร้างจากในยุคอดีตที่ทางฟาโรห์ได้สร้างขึ้นเพื่อเป็นที่เก็บพระศพ เป็นพื้นฐานมาจากความเชื่อโบราณของชาวอียิปต์ที่ว่าผู้ที่วายชนม์ไปแล้วจะฟื้นกลับขึ้นมาใหม่เมื่อพระอาทิตย์ฉายแสงในวันรุ่งขึ้น ดังนั้นการสร้างพีรามิดเพื่อเอาไว้เก็บศพของฟาโรห์ที่นำมาทำเป็นมัมมี่ ทรัพย์สมบัติ รวมถึงบริวารไว้คอยรับใช้พระองค์เมื่อพระองค์ฟื้นคืนชีพกลับมานั่นเอง

การสร้างพีรามิดแห่งนื้ถือว่ายังเป็นปริศนาพอสมควร แต่ว่าจากการสันนิษฐานพบว่าหินแต่ละก้อนผ่านการเจียระไนตกแต่งให้มีขนาดเท่าพอดีและทับซ้อนกันขึ้นไปได้โดยไม่ใช้ตัวเชื่อมใด ๆ และใช้กำลังคนในการค่อย ๆ ขนหินขึ้นไปเรียงกันที่ด้านบนอย่างเป็นระเบียบและไม่มีการใช้เหล็กแต่อย่างใดเพราะว่าในยุคนั้นยังไม่เข้าสู่ยุคเหล็ก เพราะฉะนั้นจึงคาดการณ์ว่าชาวอียิปต์โบราณได้ใช้แท่งทองแดงพันด้วยเชือกเพื่อหมุนแท่งโลหะในการเจาะรูก้อนหิน โดยใช้ผงทรายโรยลงไปเพื่อช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการเจาะนั่นเอง

มหาพีรามิดนั้นเป็นสิ่งปลูกสร้างที่ยิ่งใหญ่ด้วยวิธีการสร้างที่แสนจะเหลือเชื่อในยุคโบราณและแสดงถึงวัฒนธรรมและความเชื่อของชาวอียิปต์ยุคโบราณได้เป็นอย่างดี ยังไม่รวมวัตถุโบราณและโลงศพฟาโรห์ที่ตั้งอยู่ภายใน นอกจากนั้น หากคุณมาเยือนที่นี้ ยังจะได้พบสิ่งมหัศจรรรย์อีกอย่างหนึ่งด้วยก็คือมหาสฟิงซ์ (The Great Sphinx of Giza) ซึ่งเป็นรูปปั้นหินขนาดใหญ่ สัตว์ลูกครึ่งตามความเชื่ออียิปต์โบราณที่ทำหน้าที่เฝ้ามหาพีรามิดมากว่าพันปี ล้วนแล้วแต่คุ้มค่ามาก ๆ แก่การมาเข้าชม

สถานที่ท่องเที่ยวน่าทึ่งของอินเดีย ประเทศที่เต็มไปด้วยวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์

หากคุณเป็นนักท่องเที่ยวที่ชื่นชอบสถาปัตยกรรมที่มีเอกลักษณ์และโดดเด่นรวมถึงบรรยากาศที่เรียกได้ว่าเหมือนอยู่อีกโลกหนึ่งที่เราเคยสัมผัส ขอแนะนำประเทศอินเดีย ประเทศที่เต็มไปด้วยศิลปะและวัฒนธรรมที่งดงามและน่าทึ่ง มาดูกันดีกว่าว่ามีแลนด์มาร์คไหนบ้างที่ห้ามพลาดเมื่อมีโอกาสได้ไปเยือน

ทัชมาฮาล อนุสรณ์สถานแห่งความรักและ 1 ในสิ่งมหัศจรรย์ของโลก

หากจะพูดถึง 1 ใน 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลกที่มีชื่อเสียงที่ดังที่สุดในด้านของความรัก ทัชมาฮาลน่าจะเป็นที่แรกที่เราหลายคนนึกถึง โดยสถานที่นี้ถูกตั้งตามพระนาง Mumtaz Mahal ซึ่งเป็นชื่อภรรยาของกษัตริย์องค์ที่ 4 แห่งราชวงศ์ Mughal ที่ชื่อว่า Shah Jahan ซึ่งพระนาง Mumtaz Mahal เป็นที่รักยิ่งของพระสวามี เมื่อพระนางได้สิ้นพระชนม์ไปหลังจากการคลอดลูกคนที่ 14 ในปี ค.ศ.1631 ท่าน Shah Jahan จึงเสียพระทัยมากและได้สร้างจ้างสถาปนิกเพื่อมาออกแบบสิ่งปลูกสร้างที่สวยงาม ทำจากหินอ่อนแห่งนี้ขึ้นมาเพื่อเป็นอนุสรณ์ของความรักที่พระองค์มีให้กับพระมเหสี ซึ่งคุณสามารถเดินทางมาชมสิ่งสถาปัตยกรรมที่แสนจะมหัศจรรย์นี้ได้ที่เมืองอาครา ริมฝั่งแม่น้ำยมุนา ประเทศอินเดีย

ช่วงเวลาที่สวยที่สุดที่คุณจะสามารถชมได้เมื่อมาเยือนทัชมาฮาลก็คือช่วงฟ้าสางหรือช่วงพลบค่ำ เพราะว่าจะเป็นตอนที่เงาของทัชมาฮาลจะสะท้อนกับแม่น้ำยมุนา เกิดเป็นภาพที่งดงามราวกับอยู่ในเทพนิยาย

เมืองพาราณสี มหานครศักดิ์สิทธิ์ของชาวพุทธและชาวฮินดู

เมืองพาราณสีเป็นเมืองที่มีประวัติโด่งดังมายาวนานกว่า 4,000 ปีและเป็นเมืองแสวงบุญของชาวพุทธและชาวฮินดู โดยเมืองนี้อยู่ในแคว้นกาสี ประเทศอินเดีย เป็นทางผ่านของแม่น้ำคงคา แม่น้ำสายศักดิ์สิทธิ์ตามความเชื่อของชาวพุทธศาสนิกที่เชื่อว่าพระโพธิสัตว์ทรงประสูตร ณ ที่แห่งนี้ อีกทั้งยังเป็นสถานที่ที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงปฐมเทศนาแก่ปัญจวัคคีย์อีกด้วย จุดท่องเที่ยวที่แนะนำให้นักท่องเที่ยวที่เดินทางไปเยือนเมืองนี้ได้ไปสัมผัสดูก็มีท่าน้ำทศาศวเมธ ฆาต (Dasaswameth Ghat) ท่าน้ำริมแม่น้ำคงคาขนาดใหญ่ที่สุดและมีความคึกคักตลอดทั้งวันเพราะชาวอินเดียที่นับถือฮินดูหรือพุทธศาสนาจะมาทำพิธีตามความเชื่อต่าง ๆ กันที่นี่ ไม่ว่าจะเป็นการน้ำดอกไม้มาถวายพระแม่คงคา นำอัฐิมาโปรยลงในแม่น้ำ รวมถึงเอาน้ำมาพรมตัวเพื่อเสริมความเป็นสิริมงคล เทวาลัยทุรคา (Durga Temple) วัดทีสร้างขึ้นมาสำหรับบูชาะเจ้าแม่ทุรคา โดดเด่นด้วยสถาปัตยกรรมแบบฮินดูสีแดงและลิงจำนวนมากที่อาศัยอยู่ในวัด และอีกสถานที่หนึ่งที่ห้ามพลาดเลยก็คือป้อมรัมนาการ์ (Ramnagar Fort) ป้อมนี้จะตั้งอยู่ริมแม่น้ำคงคา สวยงามด้วยศิลปะแบบโมกุลที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในเมือง ภายในจะเป็นที่ตั้งของพิพิธภัณฑ์ป้อมรัมนาการ์ที่จัดแสดงโบราณวัตถุที่สำคัญของประเทศ

พระวิหารฮัรมัรดิร ซาฮิบ (Harmandir Sahib) พระวิหารสีทองศักดิ์สิทธิ์ของชาวซิกข์

เมืองอัมริตสาร์ (Amritsar) เป็นเมืองที่อยู่ในรัฐปัญจาบและเป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดของประเทศอินเดีย อยู่ห่างจากเมืองนิวเดลีประมาณ 400 กิโลเมตร สิ่งที่ทำให้เมืองนี้โดดเด่นก็คือวัฒนธรรมของชาวซิกข์และเป็นเมืองที่มีประวัติศาสตร์ยาวนาน มีชื่อเสียงจากเหตุการณ์สังหารหมู่ชาวอินเดียที่สวนสาธารณะ Jallianwala Bagh ในปี ค.ศ.1919 ที่ประเทศอินเดียประกาศเป็นอิสรภาพจากประเทศอังกฤษ โดยสิ่งปลูกสร้างที่มีชื่อเสียงที่สุดในเมืองก็คือพระวิหารฮัรมัรดิร ซาฮิบ (Harmandir Sahib) ซึ่งเป็นพระวิหารศักดิ์สิทธิ์ของชาวซิกข์ มีสีทองอร่ามโดดเด่นกลางน้ำ และมีฐานเป็นหินอ่อนสีขาวนวลตา สวยงามทั้งภายนอกและภายในเลยทีเดียว

อินเดียเป็นประเทศที่เต็มไปด้วยประวัติศาสตร์ที่ยาวนานและมีความหมายอย่างมากโดยเฉพาะกับชาวพุทธ มีสถาปัตยกรรมที่สวยงามมากมายอีกทั้งยังไม่น่ากลัวอย่างที่คิด หากคุณเป็นผู้ที่ชอบสถานที่ท่องเที่ยวที่มีมนต์ขลังและเต็มไปด้วยเรื่องราวในอดีต จะต้องชื่นชอบประเทศนี้อย่างแน่นอน

รวมสิ่งที่ควรรู้เมื่อไปท่องเที่ยวที่บาหลี เกาะสุดฮิตในอินโดนีเซีย

บาหลีเป็นสถานที่ท่องเที่ยวในประเทศอินโดนีเซียที่ขอบอกว่าตอนนี้ได้รับความนิยมอย่างมากในต่างประเทศและโดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเทศไทย เพราะสามารถไปได้ไม่ยาก ไม่ไกลและเต็มไปด้วยน้ำทะเลสวย ๆ เหมาะกับการไปถ่ายรูปเป็นที่สุดเราจึงจะขอนำทริปดี ๆ ที่มีประโยชน์และเหมาะกับการท่องเที่ยวในประเทศนี้มาฝากกัน

แต่งกายให้เรียบร้อยเมื่อไปวัดและเคารพในวิถีชีวิตท้องถิ่นของชาวบาหลี เพื่อการท่องเที่ยวที่สนุกมากยิ่งขึ้น

บาหลีมีลักษณะเป็นเกาะที่ยังมีความเป็นธรรมชาติไม่ปรุงแต่งได้ค่อนข้างน่าประทับใจ มีสถานที่ท่องเที่ยวที่โดดเด่นคือชายหาดต่าง ๆ และเขาที่ยื่นออกไปในทะเล นอกจากนั้นยังมีวัดที่เป็นที่เคารพของคนในพื้นที่ ดังนั้นสิ่งแรกที่เราควรจะต้องคำนึงถึงก็คือความเหมาะสมและมารยาทในการไปท่องเที่ยวที่นี้ หากคุณต้องการจะไปเที่ยวที่วัดด้วย ก็ให้เตรียมเสื้อผ้าและเครื่องแต่งกายที่เรียบร้อย เป็นเสื้อผ้าที่ไม่เปลือยไหล่และกุมเข่า เพียงแค่นี้ก็สามารถเข้าวัดสวย ๆ ในบาหลีอย่างเช่นวัด วัดเบซาห์กี วัดทานาล็อตและวัดอูลันดานูบราตันได้แล้ว

ไม่ควรแลกเงินนอกธนาคาร แนะนำให้กดเงินจาก ATM จะได้เรทเงินที่ดีที่สุด

การแลกเงินในอินโดนีเซียก็เป็นเรื่องที่คุณควรจะต้องรู้ไว้ เราไม่แนะนำให้คุณพกเงินสดติดตัวในจำนวนมากเพราะว่าอาจจะเสี่ยงถูกโจรกรรมได้ เราแนะนำให้คุณไปแลกเอาระหว่างที่กำลังท่องเที่ยวจะดีกว่า โดยให้แลกที่ธนาคารเท่านั้นเพราะว่าหากแลกเงินกับเคาน์เตอร์แลกเงินที่ไม่ใช่ของธนาคารอาจจะถูกหลอกให้แลกเงินปลอมได้ หรือหากไม่อยากเข้าธนาคารก็สามารถกดเงินสดออกมาจากตู้ ATM จะสะดวกกว่า อีกทั้งยังได้เรทเงินดีกว่าไปแลกที่โรงแรมที่พักอีกด้วย

เลือกรถแท็กซี่สีน้ำเงินในการเดินทางในบาหลีจะปลอดภัยที่สุด

การเดินทางในบาหลีมีทางเลือกมากมายขึ้นอยู่กับว่าคุณเร่งรีบที่จะไปยังจุดหมายปลายทางมากแค่ไหน โดยมีทั้งมอเตอร์ไซด์ รถจักรยานและรถตู้ รวมถึงการขนส่งสาธารณะอีกด้วย แต่ให้ระวังจะถูกโกงไว้ให้ได้กรณีที่คุณเลือกใช้บริการรถรับจ้างเช่นแท็กซี่ แนะนำให้เลือกโดยสารรถแท็กซี่ที่เป็นสีน้ำเงินและเขียนไว้ที่รถว่า Bali Taxi หรือที่เรียกว่า Blue Bird Taxis ที่ถูกกฏหมายเพื่อความปลอดภัยระหว่างการเดินทางและป้องกันการถูกโก่งราคา

บาหลีเป็นประเทศที่สวยงามและเต็มไปด้วยวัฒนธรรมท้องถิ่นที่น่าสนใจ ในฐานะนักท่องเที่ยวต้องเตรียมตัวและศึกษาสิ่งที่ควรรู้ของประเทศก่อนการเดินทางไปทุกครั้งเพื่อให้การท่องเที่ยวสนุกและปลอดภัยมากยิ่งขึ้น และอย่าลืมพกเพื่อนที่รู้ใจกันไปด้วยเพื่อให้ทริปนี้เป็นทริปที่น่าจดจำทริปหนึ่งของคุณและคนที่คุณรัก

ไฮไลท์ใน Garden by the Bay ที่ขอบอกว่าห้ามพลาดเมื่อไปเยือนสิงคโปร์

Garden by the Bay เป็นสถานที่ท่องเที่ยวยอดฮิตที่ไม่ว่าใครต่อใครก็ต้องรู้จักเมื่อมาสิงคโปร์ เป็นสวนสาธารณะขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่บนเกาะเซ็นโตซ่า เกาะแห่งความบันเทิงขนาดยักษ์ของสิงคโปร์นี้ก็เปิดทำการมาเมื่อปี 2012 นี้เอง โดยมีส่วนการท่องเที่ยวหลักก็คือโดมจัดแสดงพรรณไม้หรือที่เรียกว่า The Cloud Forest, Flower Dome, OCBC Skyway และ Supertree Grove จึงบอกได้ว่าจุดท่องเที่ยวเหล่านี้เป็นไฮไลท์ที่พลาดไม่ได้เมื่อมาเยือนประเทศสิงคโปร์เลยทีเดียว

เดินบน OCBC Skyway สุดหวาดเสียวและชมการแสดงแสงสีที่ Supertree Grove

Supertree Grove ได้กลายเป็นสัญลักษณ์อีกอย่างหนึ่งของสิงคโปร์นอกเหนือจากเจ้ารูปปั้นสิงโตพ่นน้ำ Merlion โดยเป็นสิ่งปลูกสร้างลักษณะเหมือนกับต้นไม้ ดูสวยราวกับอยู่ในหนังเรื่องอวตาร มีอยู่ด้วยกันหลายต้นและมีความสูงลดหลั่นกันไป ตั้งแต่ 25 เมตร จนสูงสุดถึง 50 เมตรเลยทีเดียว ซึ่งนอกจากต้นไม้เหล่านี้จะดูสวยมากและเหมาะมาถ่ายรูปเล่นแล้ว นักท่องเที่ยวยังสามารถขึ้นไปเดินบนทางเดินด้านบนของต้นไม้หรือที่เรียกว่า OCBC Skyway เพื่อชมวิวเมืองสิงคโปร์จากมุมสูงได้ในตอนกลางวัน (มีค่าใช้จ่าย) หรือจะเดินทางมาตอนกลางคืนที่จะมีการเปิดไฟสวย ๆ บนต้นไม้ไปทั่วบริเวณเพื่อมาถ่ายรูปเล่นให้หนำใจเลยก็ได้

นอกจากนั้น หากท่านเดินทางมายังบริเวณ Supertree ในตอน 7.45 pm และ 8.45 pm ของทุกวัน จะได้ชมการแสดงแสงสีที่มีชื่อเรียกว่า Garden Rhapsody ได้อีกด้วย

เยี่ยมชมป่าดิบชื้นจำลองที่โดม Cloud Forest

โดม Cloud Forest ก็เป็นโดมแสดงพรรณไม้จากป่าดิบชื้นซึ่งก็เป็นอีกหนึ่งไฮไลท์ของ Garden by the Bay ที่ห้ามพลาด  แนะนำให้คุณเดินทางมาที่นี้ในตอนเช้า ๆ หรือสาย ๆ หน่อยก็จะสามารถหลีกเลี่ยงฝูงชนจำนวนมากได้ เมื่อเดินเข้ามาในโดมนี้ คุณจะตื่นตาตื่นใจกับน้ำตกจำลองขนาดยักษ์ มีความสูงกว่า 35 เมตรและอัดแน่นไปด้วยสีเขียวของพรรณไม้ หากคุณเป็นคนที่ไม่กลัวความสูง ก็สามารถขึ้นลิฟต์ไปด้านบนของน้ำตกได้และค่อย ๆ เดินลงมา (มีทางเดินลงจัดไว้ให้ โดยจะเป็นทางเดินที่มองเห็นวิวของภายในโดมจากมุมสูง) รับรองว่าได้ออกกำลังกาย สูดอากาศบริสุทธิ์และหวาดเสียวนิด ๆ ไปพร้อมกันแน่นอน

ตื่นตาตื่นใจไปกับงานแสดงพรรณไม้ที่ Flower Dome

โดมดอกไม้ที่อยู่ข้าง ๆ กับโดม Cloud Forest โดยโดมนี้ได้ถูกบันทึกว่าเป็นสวนเรือนกระจกขนาดใหญ่ที่สุดในโลกในปี 2015 โดยนักท่องเที่ยวจะได้ชมพรรณดอกไม้มากมาย สีสันสดใสถูกจัดตามธีมที่ทางโดมคิดขึ้นซึ่งจะสลับสับเปลี่ยนกันไปตามแต่ละช่วงของปี พร้อมกับงานศิลปะที่มีคุณค่ากับชาวสิงคโปร์

ไฮไลท์ทั้ง 3 อย่างนี้เป็นแค่ส่วนหนึ่งของ Garden by the Bay เท่านั้น เพราะว่าจริง ๆ แล้วยังมีอีกหลายส่วนที่จัดแสดงงานศิลปะจากศิลปินที่มีชื่อเสียง ธรรมชาติสวยงามและสนามเด็กเล่นสำหรับเด็กที่น่าตื่นตาตื่นใจ เรียกได้ว่าสิงคโปร์เป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่เหมาะกับทุกคนในครอบครัวจริง ๆ

ชวนเที่ยวเมืองมะละกา เมืองมรดกโลกจากมาเลเซียอันแสนจะมีเสน่ห์แห่งเอเชีย

มาเลเซียเป็นประเทศที่ไม่ไกลจากประเทศไทยมากนัก แถมยังมีโปรโมชั่นจากสายการบินต่าง ๆ มายั่วให้ลองไปสักครั้ง หากคุณสนใจอยากจะไปเยือนประเทศที่อยู่ใกล้ ๆ บ้านเรา มีสิ่งแวดล้อมและการดำเนินชีวิตที่ค่อนข้างจะคล้ายบ้านเราแต่ไม่เหมือนบ้านเราเสียทีเดียว แต่ยังไม่แน่ใจว่าจะลองมาเที่ยวดูหรือไม่ เราจะมาแนะนำหนึ่งในเมืองท่องเที่ยวของมาเลเซียให้ได้รู้จัก ซึ่งก็คือเมืองมะละกานั่นเอง

สถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจและห้ามพลาดในเมืองมะละกา เมืองมรดกโลกของมาเลเซีย

เมืองที่มีชื่อเสียงที่สุดในมาเลเซียก็คือ มะละกาซึ่งถือว่าเป็นเมืองเล็ก ๆ ในรัฐทางตอนใต้ของมาเลเซีย อีกทั้งได้รับว่าเป็นเมืองมรดกโลกจาก UNESCO (UNESCO World Heritage) มีสถานที่ท่องเที่ยวที่แสดงถึงศิลปะวัฒนธรรมที่ผสมผสานกันได้อย่างลงตัวของประเทศได้เป็นอย่างดี ไม่ว่าจะเป็นดัตช์ สแควร์ (Dutch Square) หรือจตุรัสกลางเมืองที่รายล้อมไปด้วยสิ่งปลูกสร้างจากอิฐสีแดง ผสมผสานด้วยสถาปัตยกรรมจากชาวดัตช์ที่เข้ามาเผยแพร่ศาสนาในอดีต ยองเกอร์ สตรีท (Jonker Street) หรือถนนสายวัฒนธรรมของมาเลเซีย เป็นถนนที่มีตึกรามบ้านช่องเป็นทรงชิโน-โปรตุกีสแสนจะคลาสสิคพร้อมร้านรวงมากมายให้นักท่องเที่ยวได้เดินช้อปปิ้งอย่างสบายใจ หรือมัสยิดเซลัต (Masjid Selat Melaka) มัสยิดหินอ่อนสีขาวกลางน้ำ ตั้งอยู่บนเกาะปุเลย์ (Pulay) ที่สวยงดงามเป็นอย่างมาก

ถ้าว่างๆ สามารถเดินเล่นชิวๆ ที่แม่น้ำมะละกาหรือโบสถ์เซนต์พอล

หากคุณยังพอมีเวลาเหลือ ก็สามารถไปชมวิวที่แม่น้ำมะละกา (Melaka River) ติดกับถนนยองเกอร์ สตรีท ซึ่งแม่น้ำนี้ในอดีตเป็นท่าของสินค้าที่ขนถ่ายผ่านช่องแคบมะละกาที่มีชื่อเสียงที่สุดในด้านการค้าขายระหว่างประเทศในยุคก่อน แม้ตอนนี้จะไม่ได้มีการใช้งานแล้ว แต่ก็ถือเป็นหัวใจหลักของการท่องเที่ยวในเมืองอยู่ในปัจจุบัน นอกจากนั้นก็ยังมีโบสถ์เซนต์พอล (St. Paul’s Church) ซึ่งเป็นโบสถ์นิกายโรมัน – คาทอลิคที่มีอายุมากกว่า 500 ปีและเต็มไปด้วยมนต์เสน่ห์ที่ใครได้มาเยือนเป็นต้องหลงรัก

เที่ยวรอบเมืองแบบฟินๆ ได้โดยการใช้บริการรถสามล้อประจำเมือง

ในการท่องเที่ยวไปรอบเมืองมะละกา คุณสามารถใช้บริการรถสามล้อหรือที่เรียกเป็นภาษาอังกฤษว่า Rickshaw เพื่อเดินทางไปยังจุดท่องเที่ยวจุดต่าง ๆ ในเมืองได้อย่างมีสีสันมากขึ้น โดยรถสามล้อของที่นี่เค้าจะมีการตกแต่งด้วยไฟสีสันสดใสเพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยว คุณสามารถเรียกรถสามล้อได้ที่จตุรัสดัตช์แสควร์

ในส่วนของการเดินทางมาที่เมืองมะละกาก็สามารถทำได้ง่าย ๆ เพียงแค่โดยสารเครื่องบินมาลงที่ท่าอากาศยานมะละกา (Malacca International Airport) หรือหากวางแผนจะเที่ยวที่สถานที่ท่องเที่ยวอื่น ๆ ของมาเลเซียด้วยก็สามารถเดินทางไปที่ท่าอากาศยานกัวลาลัมเปอร์ (Kuala Lumpur International Airport) และไปขึ้นรถบัสต่อที่สถานีขนส่งเบอร์เซปาดู เซอลาตันเพื่อไปยังเมืองมะละกา เพียงแค่นี้คุณก็จะได้สัมผัสเสน่ห์ของเมืองมรดกโลกแห่งนี้แล้ว

เปิดประสบการณ์ทานร้านอาหารรสชาติอร่อยพร้อมกับวิวตระการตาแห่งเกาะมัลดีฟส์

มัลดีฟส์เป็นสถานที่ท่องเที่ยวในฝันของใครหลาย ๆ คนที่ชื่นชอบหาดทรายนุ่มละเอียด น้ำใสราวกับคริสตัลพร้อมกับบรรยากาศเงียบสงบของชายทะเล แน่นอนว่าในมัลดีฟส์มีรีสอร์ทที่พักให้เลือกมากมายตามแต่ละเกาะ รวมถึงมีให้เลือกด้วยกันหลากหลายเรทราคา วันนี้แนะนำร้านอาหารสุดยอดแห่งเกาะมัลดีฟส์ที่บอกได้เลยว่าน่าสนใจไม่แพ้กับโรงแรมที่พักเลยทีเดียว

Ithaa Undersea Restaurant ร้านอาหารใต้น้ำที่รีสอร์ท Conrad Hilton แห่งเกาะ Rangali

สำหรับผู้ที่กำลังมองหาวิวสวย ๆ แกล้มการรับประทานอาหารแบบไม่ซ้ำใคร ลองมาทานอาหารใต้น้ำกันดูไหม ที่รีสอร์ท Conrad Hilton บนเกาะ Rangali บน South Ari Atoll โดยร้านอาหารนี้จะเสิร์ฟอาหารสไตล์ยุโรปที่ระดับ 5 เมตรใต้ระดับน้ำทะเลจนทำให้มีชื่อเล่นเรียกว่ามารดาแห่งไข่มุก (Mother of pearl) มีคอร์สอาหารทั้งหมด 6 คอร์สให้เลือกไม่ว่าจะเป็นไข่ปลาคาเวียร์กับแพนเค้ก blinis มันฝรั่งซาวครีม ปลาหางเหลืองกับริซอตโต้แชมเปญหญ้าฝรั่นและโฟมเนยเบอร์บล็อง ตบท้ายด้วยไอศครีมวานิลาช็อกโกแลตกับมะม่วงเชอร์เบท หากคุณโชคดี คุณอาจจะมีโอกาสได้เห็นปลาฉลามครีบดำหรือปลากระเบนแมนตาแหวกว่ายผ่านแนวปะการังแบบใกล้ชิดก็ได้

ร้านอาหารทะเลสดๆ ในบรรยากาศใต้ทะเล Muraka ในเกาะ Mirihi ที่รีสอร์ท Mirihi Island

ร้านอาหารสุดหรูที่อยู่ใน Mirihi Island Resort แห่ง South Ari Atoll ร้านอาหารตกแต่งแบบเรียบง่ายด้วยไม้ ตั้งอยู่ริมสนามบินน้ำของเกาะ โดยร้านอาหารนี้จะเสิร์ฟอาหารนานาชาติ เน้นเป็นอาหารทะเล อย่างเช่นทูน่าลอยน์ปรุงด้วยพริกไทยสีชมพูกับผักกาดกวางตุ้งทอดและเกี๊ยวกรอบมันฝรั่ง หรือจะเลือกทาน ซุปบิสค์ล็อบสเตอร์กับสลัดมะละกอและน้ำสลัดเมล็ดมะละกอ นอกจากนั้นยังมีปลาสด ๆ มากมายมาให้แขกเลือกสรรแล้วแต่ว่าร้านจะได้ปลาอะไรมาในแต่ละวัน โดยร้านอาหารจะมีในส่วนที่เป็นส่วนกระจกใส ทำให้แขกสามารถชมวิวใต้ทะเลที่เหมือนกับล้อมรอบด้วยตู้ปลาขนาดยักษ์เลยทีเดียว

The Sea House ร้านอาหารสไตล์เอเชียราคาไม่แพงบนท่าเรือเฟอรี่ Hulhumale

ตั้งอยู่ที่ชั้นแรกของท่าเรือเฟอรี่ Hulhumale โดยร้านอาหาร The Sea House ร้านนี้เป็นร้านอาหารที่วิวสวยที่สุดของเกาะ โดยเป็นโซนแบบ Open-air ที่จะให้แขกได้ชมวิวอ่าว Malé (Malé’s harbor) มหาสมุทรอินเดียและลากูนสวย ๆ ได้อย่างเต็มอิ่มแบบพาโนราม่ากันไปเลย นอกจากนั้นอาจจะได้เห็นเครื่องบินบินออกจากสนามบินของเกาะที่อยู่ข้าง ๆ อย่างเกาะ Hulhule โดยนอกจากอาหารสไตล์เอเชียอร่อย ๆ ในราคาที่สมเหตุสมผลอย่างส้มตำและแกงเขียวหวานแล้ว ร้านนี้ยังมีเครื่องดื่ม mocktail ชื่นใจซาบซ่าแบบไม่มีแอลกอฮอล์ให้ได้ดื่มกันระหว่างที่ชมวิวพระอาทิตย์ตก หรือหากคุณไม่ชอบทานเผ็ดจัด จะสั่งอาหารญี่ปุ่นอย่างซูชิซึ่งมีเสิร์ฟในตอนสาย ๆ หรืออาหารเช้าแบบพื้นเมืองมัลดีฟส์ที่ทำจากทูน่า มะพร้าว หัวหอม พริกและมะนาวก็ได้

ร้านอาหารในมัลดีฟส์ถือเป็นอีกหนึ่งไฮไลท์ในการท่องเที่ยวในมัลดีฟส์ที่ถือว่าสามารถสร้างสีสันให้กับทริปการพักผ่อนของคุณได้มากเลยทีเดียว หากคุณได้ไปเที่ยวใกล้ ๆ ร้านอาหารเหล่านี้ อย่าลืมลองแวะไปทานกันนะ

เยือนตลาดค้าส่งปลาแห่งใหม่ของเมืองโตเกียว ตลาดปลา Toyosu

จากที่เราเคยทราบข่าวกันดีกว่าตลาดปลาชื่อดังขนาดใหญ่และเก่าแก่ของเมืองโตเกียวอย่างตลาดปลา Tsukiji ได้ปิดตัวลง ทางญี่ปุ่นก็ได้เปิดตัวตลาดค้าส่งปลาและอาหารทะเลแห่งใหม่อย่างตลาดปลา Toyosu ที่มีความยิ่งใหญ่ไม่แพ้ตลาดปลาที่แรก มีขนาดกว่า 407,000 ตารางเมตร มีความเป็นระเบียบแถมยังมีอะไรให้นักท่องเที่ยวได้ชมกันเพลิน ๆ และได้ความรู้นอกเหนือไปจากการมาช้อปข้าวของเครื่องใช้ เครื่องปรุงวัตถุดิบญี่ปุ่นและรับประทานอาหารญี่ปุ่นขั้นเทพอีกด้วย โดยตลาดจะแบ่งออกด้วยกันเป็น 3 ส่วน มีอะไรบ้างมาดูกันเลย

ตึกประมูลปลาในร่มขนาดใหญ่ Fish Wholesale Market Building

จุดประสงค์หลักหนึ่งของตลาดปลา Toyosu แห่งนี้ก็คือเป็นแหล่งประมูลปลาทูน่า โดยเขาจะเปิดประมูลปลาทูน่ากันที่ตึกนี้อย่างเป็นสัดส่วนและมีความเป็นระเบียบเรียบร้อยอย่างมาก มีส่วนประมูลด้านล่างซึ่งเปิดให้ผู้ประมูลปลาได้เข้าร่วมการประมูล ส่วนสำหรับนักท่องเที่ยวจะแบ่งเป็น 2 ส่วนก็คือด้านล่างที่เป็นกระจกกั้นและด้านบนที่เป็นหน้าต่างกระจก โดยทั้ง 2 ส่วนนี้จะเปิดโอกาสให้นักท่องเที่ยวสามารถเข้าชมการประมูลปลาได้อย่างใกล้ชิด แต่ว่าหากอยากจะเข้าชมจริง ๆ ควรจะต้องเตรียมการสอบถามล่วงหน้าว่ามีการเปิดให้เข้าชมหรือไม่เพราะบางครั้งนักท่องเที่ยวก็ไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าชมการประมูลปลาทั้งจากนอกกระจกด้านล่างและจากหน้าต่างบานกระจกด้านบนและจะต้องทำการจองล่วงหน้าอีกด้วย

รับประทานอาหารจากร้านอาหารญี่ปุ่นขั้นเทพที่ตึก Fish Intermediate Wholesale Market Building

หลังจากที่ดูการประมูลปลาไปอย่างจุใจแล้ว หากท้องเริ่มจะหิวก็สามารถเดินทางมายังในส่วนของตึก Fish Intermediate Wholesale Market Building ซึ่งเป็นตึกที่เต็มไปด้วยร้านอาหารญี่ปุ่นชื่อดัง ย้ายมาจากตลาดปลาแห่งเก่าอย่างร้าน Sushi Dai และยังมีร้านอื่น ๆ อีกเพียบกว่า 22 ร้าน และที่ชั้นบนสุดของตึกหรือชั้น 4 จะมีร้านขายอุปกรณ์และเครื่องครัวต่าง ๆ ของญี่ปุ่นให้เลือกซื้อกลับบ้านมากมาย ไม่ว่าจะเป็นจาน ชามหรือมีดคมกริบสำหรับหั่นปลาและเนื้อ รวมถึงวัตถุดิบสำหรับทำอาหารอย่างเช่น วาซาบิ ไข่หวานที่สามารถซื้อทานเล่นระหว่างที่กำลังเดินช้อปปิ้งและปลาแห้งต่าง ๆ

ซื้อผักและผลไม้สดๆ จากฟาร์มในญี่ปุ่นที่ตึก Fruit and Vegetable Market Building

ที่ตลาดปลา Toyosu ไม่ได้มีแค่การประมูลปลาอย่างเดียว แต่ก็มีการประมูลผักและผลไม้กันด้วย โดยนักท่องเที่ยวสามารถชมการประมูลผักกันได้จากทางบานกระจกเช่นเดียวกับตึกประมูลปลา พร้อมทั้งมีร้านอาหารชื่อดังอีกหลายร้านที่แบ่งมาตั้งอยู่ที่ตึกนี้อย่างเช่น Sushi Daiwa ซึ่งอร่อยไม่แพ้ Sushi Dai เลยล่ะ คอนเฟิร์ม

หลาย ๆ คนเมื่อทราบว่าตลาดปลา Tsukiji ได้ปิดตัวลงก็อาจจะรู้สึกเสียดาย เพราะว่าเป็นตลาดปลาที่มีสีสัน มีอาหารญี่ปุ่นอร่อย ๆ ราคาไม่แพงหลายร้านให้เลือกซื้อทานกัน แต่ขอบอกว่าตลาดปลาแห่งใหม่นี้เขาเอาทุกอย่างที่ทุกคนชื่นชอบกันที่ตลาดปลาแห่งเก่ามาตั้งไว้อย่างจัดเต็ม ไม่ว่าจะเป็นร้านอาหาร ร้านขายวัตถุดิบญี่ปุ่นที่หาซื้อได้ที่อื่นค่อนข้างยากและขายอุปกรณ์ทำครัวญี่ปุ่น อีกทั้งยังมีการจัดโซนให้เป็นระเบียบขึ้น อยู่ในร่ม เดินสบาย ติดกับรถไฟฟ้าและ Skywalk รับรองว่าคุณจะต้องชอบที่นี่ไม่แพ้กับตลาดปลาแห่งเก่าอย่างแน่นอน

มาตั้งเป้าหมายการเดินท่องเที่ยวปี 2020 กันเถอะ

เดี๋ยวนี้สายเที่ยวเขาตั้งเป้ากันยาวๆ จะได้มีเวลาเก็บเงินและมีเวลาวางแพลนการเดินทางและการหาที่พัก คาดว่าโซนยุโรป โดยเฉพาะบรรดาเมืองขึ้นชื่อทั้งหลาย หลายคนไปมาบ้างแล้ว บางคนอาจไปหลายครั้งจนอาจจะเบื่อแล้วก็ได้ เพราะฉะนั้นจุดหมายปลายทางการท่องเที่ยวต่างประเทศในช่วงปีหลังๆ มานี้ เราจึงเริ่มเห็นว่าเราไปเที่ยวในสถานที่ที่มันทรหศมากขึ้นและเดินทางลำบากกว่าเมืองโรแมนติกที่คุ้นเคยหลายเท่านัก และนี่คือ 4 จุดหมาย ที่อยากไปให้ได้ในเร็วๆ นี้

Everest Base Camp ประเทศเนปาล

                เห็นเขาไป Trekking ที่เนปาลแล้วก็อยากไปบ้าง เห็นเขาว่ากันว่าเป็นการเดินเท้าไปถึง base camp ที่ความสูงประมาณ 5,000 เมตร (ซึ่งยอดเขาเอเวอเรสต์สูง 8,800 เมตร) ระหว่างทางวิวสวยมากและยังจะได้สัมผัสวิถีชาวภูเขาด้วย ฟังแบบนี้แล้วกระตุ้นความอยากไปมากๆ เลย ซึ่งการจะไปแบบนี้ต้องเตรียมตัวอย่างดี เตรียมร่างกายให้แข็งแรง เตรียมเสื้อผ้าข้าวของเครื่องใช้ที่จำเป็น เนี่ย…มันต้องไปซักครั้งให้ได้

Rush Lake Trek ประเทศปากีสถาน

                คนรู้จักไปมา เห็นภาพแล้วมันดีงามมากเลย นอกจากการเดิน trekking แบบลุยๆ ที่เราชอบแล้ว ภูมิประเทศที่ปรากฎมันสวยมาก เขาบอกว่าต้องเดินตามเส้นทางที่ข้ามธารน้ำแข็งขนาดใหญ่ Hopper Glacier ต่อด้วย Barpu Glacier, Black Glacier, White Glacier มันมีทั้งความแห้งแล้ง ความหนาวเย็น และความเขียวขจีสวยงามที่ซ่อนอยู่ เหมือนความรู้สึกเวลาเราได้ยินคำว่าปากีสถานนั่นแหล่ะ มันฟังดูอันตรายนะ แต่ในความอันตรายมันก็มี Rush Lake Trek ซ่อนอยู่

อิตตอกกอร์ตูมีต กรีนแลนด์

                เพราะนึกถึงความรู้สึกเป็นอิสระและการปลดปล่อยความเป็นตัวเอง ในหนังเรื่อง The Secret Life of Walter Mitty และวิวในฉากนั้นรวมถึงวิว landscape เจ๋งๆ ในเรื่องก็ติดตาตรึงใจมาตลอด กรีนแลนด์จึงเป็นตัวแทนของสถานที่แห่งนั้นที่เราอยากจะไปสัมผัสซักครั้ง โดยเมืองจุดหมายที่จะไปคืออิตตอกกอร์ตูมีต (Ittoqqortoormiit) หมู่บ้านชาวประมงที่สงบเงียบ เขาว่ากันว่าสามารถมองเห็นแสงเหนือได้จากหน้าต่างที่พักด้วยนะ และธรรมชาติของที่นั่นก็อัศจรรย์มาก ความจริงถ้าไปถึงกรีนแลนด์ไม่ได้ จะตั้งเป้าให้ตัวเองไปแค่นอร์เวย์ สวีเดน หรือไอซ์แลนด์ก็พอแล้ว แต่จะไปทั้งทีมันต้องไปที่ที่อยากไปที่สุดก่อนดิ ว่าไหม!

Amsterdam ประเทศเนเธอร์แลนด์

                ท้ายสุดแล้วจะไปไหน ก็ต้องย้อนกลับมาดูเงินในกระเป๋าด้วยจ้า อีกหนึ่งจุดหมายที่คงไม่ได้โหดและแพงเท่า 3 จุดหมายด้านบน และก็อยู่ในลิสต์รายชื่อเมืองที่อยากไปมานานแล้วก็คืออัมสเตอดัมนั่นเอง เป็นเมืองรักโลกรักสิ่งแวดล้อม เมืองจักรยาน คลองสวย ผู้คนรักโลกและรักสุขภาพ สองสามปีที่ผ่านมาการเดินทางท่องเที่ยวยุโรปที่วางแผนไม่ค่อยดี ทำให้พลาดเมืองนี้ทุกครั้ง ถ้าได้ไปกะว่าจะปักหลักที่นี่ซักสองสามวัน ปั่นจักรยานซักหนึ่งวัน เดินชมดอกไม้จิบกาแฟซักหนึ่งวัน และก็ช้อปปิ้งซักหนึ่งวัน ฟังดูเหมือนชีวิตดีจัง ถ้าจะทำได้แบบนั้น ก็ต้องขยันทำงานมากขึ้นเยอะเลยนะ

                สถานที่ที่เลือกมามีทั้งโหดมาก โหดน้อย ซึ่งถ้าเลือกแล้วว่าจะไปต้องเริ่มวางแผนและเตรียมตัวกันยาวๆ เลยล่ะ และนี่ก็คือเป้าหมายสำหรับ Next Trip ของพวกเรา เป็นการกำหนดเส้นทางใหม่ๆ สถานที่ใหม่ๆ…เพราะชีวิตคือการเดินทาง อยากรู้ว่าเป็นยังไง เราต้องไปค้นหาเองนะ

เครดิตภาพ: https://pixabay.com/photos/tasiilaq-greenland-east-greenland-892503/ 

One Day Trip นั่งเรือเรื่อยเปื่อยจาก Lausanne ไปโผล่ Montreux

เหตุการณ์นี้จะเกิดขึ้นเมื่อคุณเดินชมเมืองชมโบสถ์ อาคารบ้านเรือน และช้อปปิ้งในโลซานน์อย่างหนำใจแล้ว นึกขึ้นได้ว่าน่าจะนั่งเรือชมทะเลสาบซักหน่อย และท่าเรือก็อยู่ใกล้สถานีรถไฟนี่เอง นั่งเมโทรไปแปปเดียวก็ถึง นั่นแหล่ะคือที่มาของการนั่งเรือเรื่อยเปื่อยกินเวลาครึ่งค่อนวัน

                Montreux (มองเทรอซ์) จุดหมายปลายทางที่เราจะไปนั้นเป็นเมืองตากอากาศของสวิตเซอร์แลนด์ ตั้งอยู่บนรายฝั่งของทะเลสาบเจนีวา เคยเป็นทางผ่านของถนนสมัยโรมัน ที่ใช้เดินทางจากอิตาลีสู่นครอเวนติกัม (Aventicum) เมื่องหลวงของโรมัน คนที่นี่ส่วนใหญ่จะทำงานหรือธุรกิจเกี่ยวกับการจำหน่ายเครื่องยนต์ การขนส่งสินค้า โรงแรมและร้านอาหาร และมีบางส่วนที่ทำโรงงานอุตสาหกรรมและการก่อสร้าง และมีส่วนน้อยที่ทำเกษตรกรรม ผลิตภัณฑ์ไม้ และการประมง เพราะฉะนั้นในเมืองในนี้ก็จะเห็นอาคารและสิ่งก่อสร้างที่ทันสมัย อาคารโรงแรมและอพาร์ทเม้นท์มีให้เลือกมากมาย รูปทรงล้ำสมัยและแปลกตาดี ความจริงสามารถนั่งรถไฟจากโลซานมามองเทรอซ์เลยก็ได้ ใช้เวลาไม่ถึงครึ่งชั่วโมง แต่เราตั้งใจไว้แล้วว่าจะนั่งเรือนี่เนอะ เพราะงั้นพอออกจากเมโทรก็เดินลิ่วๆ มาท่าเรือเลยจ้า สามารถใช้ SWISS PASS ขึ้นเรือได้เลย ก่อนขึ้นเรือเจ้าหน้าที่บอกว่าเป็นเรือไปที่ไหน รอบเวลาเท่าไหร่ จากนั้นก็จะให้เข้าแถวเดินขึ้นเรือ เราก็เดินตามลุงป้าไป เจอคนไทยเยอะแยะ (ต้องยอมรับว่าคนไทยเที่ยวสวิสเยอะมาก) บนเรือจะมีที่นั่งแบบธรรมดา กับแบบวีไอพีนะ จะบอกว่ามีคนแถวนี้หลงไปนั่งโซนวีไอพี ทั้งที่ตัวเองถือตั๋วธรรมดา นั่งชมทะเลสาบไปพลางคิดว่า เอ…ทำไมได้ที่นั่งดีจัง ลมเย็นสบาย เห็นวิวเกือบจะสามร้อยหกสิบองศา รอบข้างส่วนใหญ่เป็นคุณตาคุณยายมาแบบเป็นคู่ ที่ไหนได้เจ้าหน้าที่มาแจ้งว่า “คุณกำลังนั่งโซนวีไอพีนะฮะ กรุณาย้ายไปนั่งชั้นล่างด้วย” หน้าแห้งเลย ฮ่าๆ 

                เอาล่ะ ลงมาชั้นล่างแล้ว เจอเพื่อนๆ หลากหลายวัยเยอะดี ไม่เกร็งเหมือนนั่งชั้นบนแฮะ พอเจอวิวสวยๆ พวกเขาจะส่งเสียงฮือฮา เรามองไปบนฝั่งเห็นบ้านเรือนริมทะเลสาบแล้วรู้สึกอิจฉาพวกเขาจังเลยที่ได้อยู่ในประเทศที่สวยขนาดนี้ ถัดจากชุมชนเราจะเห็นไร่องุ่นประปราย เรือจะจอดทุกท่าเราก็จะมีเพื่อนใหม่ขึ้นเรือมาเรื่อยๆ ซักพักจะเห็นปราสาทกลางน้ำ และเรือก็จอดเทียบท่าที่มองเทรอซ์ในที่สุด เย้! จริงๆ กะแค่เดินเล่นในเมืองเลยไม่ได้ไปแลนด์มาร์คใดๆ (ถ้าคนมีเวลามากพอแนะนำให้ไปปราสาทชิลยอง และไร่องุ่นมรดกโลกที่เมืองลาโวซ์ นั่งรสบัสไปได้ไม่ไกล) และรู้ตัวอีกทีก็พบว่าตัวเองติดแหงกอยู่ที่ตลาดเล็กๆ น่ารักริมทะเสสาบ ใกล้ๆ ท่าเรือนั่นแหล่ะ เป็นตลาดที่คนมาขายของท้องถิ่น ของแฮนด์เมคน่ารักมากมาย เดินชมเพลินจนล่วงเลยเวลา

                และแล้วทริปนั่งเรือไป Montreux ก็จบลงด้วยดี ส่วนใหญ่นักท่องเที่ยวจะเดินทางจากมองเทรอซ์ต่อไป Interlaken หรือไม่ก็ไป Zermatt เมืองในหุบเขายอดนิยมของนักท่องเที่ยวชาวไทย (ถึงขนาดมีป้ายแจ้งข้อมูลเป็นภาษาไทยในสถานีรถไฟ และร้านอาหารบางร้านมีเมนูอาหารภาษาไทยด้วย) ถ้ามีโอกาสจะมารีวิวทริป Zermatt นะฮะทุกคน

เครดิตภาพ: https://pixabay.com/photos/lake-mountains-landscape-montreux-3918137/

ไปเดินตะลุยหิมะที่โปแลนด์ Tatra National Park, Poland

เขาว่ากันว่าอุทยานแห่งชาติ Tatra National Park ซึ่งเป็นอุทยานที่อยู่ระหว่างชายแดน Poland และ Slovakia มี Rybi Potok Valley เป็นเส้นทางเดินเขาของชาวโปแลนด์ท้องถิ่น ข้างบนเขานั้นมีทะเลสาบ Morskie Oko (ออกเสียงว่ามอสกี้โอโกะ) คนท้องถิ่นและนักท่องเที่ยวต่างถิ่นนิยมมาพักผ่อนและชื่นชมธรรมชาติ จะว่าไปแล้วคงเหมือนการเดินขึ้นภูกระดึงของบ้านเรา มีผู้คนแวะเวียนไปเยี่ยมชมไม่ขาด ถึงจะเดินไกล เส้นทางทรหศแหละเหนื่อยขนาดไหน พอไปถึงบนนั้นแล้วจะหายเหนื่อยไปเลยเพราะธรรมชาติมันสวยมาก แถมยังได้เก็บช่วงเวลาแสนประทับใจในการใช้เวลาลำบากแต่สนุกสนานร่วมกันกับเพื่อน ๆ …ถ้าเช่นนั้น มาลองดูกัน ว่าเดินตะลุยหิมะ กับเดินขึ้นภูกระดึง อย่างไหนโหดกว่ากัน

Morskie Oko ตำนานเล่าว่ามันคือดวงตาแห่งทะเล

Morskie Oko เป็นทะลสาบที่อยู่บนเทือกเขา Tatra เขาบอกว่าที่นี่เป็นแหล่งชุมนุมของปลาเยอะมาก (โดยเฉพาะปลาเทราต์) โดยชื่อ Morskie oko ตรงกับภาษาอังกฤษ Sea Eye หรือ Eye of the sea เพราะทะเลสาบนี้มีจุดเชื่อมกับทะเล อาจจะผ่านทางการไหลของน้ำใต้ดิน ในช่วงเวลาปกติน้ำในทะเลสาบใส รายล้อมด้วยภูเขา และต้นไม้สีเขียวสดใส แต่ในช่วงฤดูหนาว ทะเลสาบจะกลายเป็นน้ำแข็งและถูกปกคลุมด้วยหิมะ มองไปทางไหนก็มีแต่สีขาวเต็มไปหมด ซึ่งช่วงเวลาที่เราจะไปเดินเขาครั้งนี้ ก็คือช่วงที่เต็มไปด้วยหิมะนี่แหล่ะ

การเดินทาง

เมื่อจุด start อยู่ที่เมืองคราคูฟ (Krakow) การเดินทางมาที่อุทยานฯ ก็สามารถนั่งรถบัสจากสถานีเดินรถที่ คราคูฟ ไปยังเมืองซาโกปาเน (Zakopane) โดยรถบัสสายนี้มีทุก 15-30 นาที เราเลือกรอบ 07.10 น. มาถึง  ซาโกปาเน เกือบ 10 โมง ระหว่างนั่งรถมาก็เห็นทิวทัศน์ที่ค่อย ๆ เปลี่ยนไปจากตึกเก่าในเมือง เริ่มเป็นท้องทุ่ง และก็…โห นั่นมันหิมะสุดลูกหูลูกตา (ไอ้ฉากหิมะที่เราเคยเห็นในหนัง Fargo กับ Hateful Eight มันเป็นแบบนี้นี่เอง) เมื่อถึงซาโกปาเนแล้ว นั่งรถตู้ต่อมาอีกประมานครึ่งชั่วโมงถึงทางเข้าอุทยาน มีค่าเข้าประมาน 1 ยูโร พอเข้ามาจะมีรถม้ารับจ้าง (แต่เราไม่นั่งรถม้านะ เพราะตั้งใจมาเดินตะลุยหิมะนี่นา) ขากลับก็เดินลงมาขึ้นรถตู้ที่หน้าอุทยาน กลับไปที่สถานีรถซาโกปาเน แล้วก็นั่งรสบัสกลับคราคูฟ การเดินทางค่อนข้างสะดวก ความจริงตอนขึ้นรถบัสเราสามารถเดินขึ้นรถแล้วจ่ายเงินกับคนขับได้เลย ไปต้องไปซื้อที่เคาน์เตอร์ก็ได้

Morskie Oko Vs ภูกะดึง
            เราจะได้เห็นว่าคนโปแลนด์เขาก็มาเดินเขาเยอะเหมือนกันนะ มากันเป็นครอบครัว มาเป็นคู่นี่เยอะมาก (เดินจับมือกัน และชอบถ่ายรูปจุ๊บปากกัน จุดจุมวิวทุกจุดที่เขาถ่ายรูปกัน เราจะได้เห็นฉากเลิฟซีนเบา ๆ แบบนี้แหล่ะ) มาเป็นแก๊งก็เยอะ ประมานว่ามาวัยรุ่นมาเป็นกลุ่มมือขวาจูงมือแฟนสาว มือซ้ายถือขวดเบียร์ (เริ่มเหมือนภูกระดึงแล้วไหมล่ะ) ที่นี่มีจุดพักประมาณ 7 จุด เป็นจุดถ่ายรูปและมีห้องน้ำบริการ ภูกระดึงก็มีจุดพักเป็น “ซำ” หลายซำ แต่ต่างกันตรงที่มอสกี้โอโกะไม่มีของขาย มีจุดเกือบจะสุดท้ายที่เป็นจุดพักใหญ่จุดเดียวที่มีร้านขายอาหารและเครื่องดื่ม

ทางที่เราเดินขึ้นมาเป็นหิมะ และพอหิมะผ่านการเดินเหยียบย่ำจะแข็งลื่นมาก ก็จะได้เห็นคนล้มคนลื่นเป็นระยะ เหนื่อยมากกว่าจะถึงจุดหมายที่เป็นทะเลสาบ ตรงหน้าทะเลสาบมีร้านอาหาร คนที่มาเป็นครอบครัวก็จะพากันกินขนมปัง แซนด์วิช ขนมที่เตรียมมากันตรงนี้ เป็นภาพที่น่ารักดี แต่จะบอกว่าข้างบนนี้หนาวมาก หนาวจนหน้าชา มือชา ขาชาไปหมด มองลงไปจะเห็นทะเลสาบกลายเป็นน้ำแข็งและมีหิมะเต็มไปหมด

สวยและประทับใจมากเลย ถือว่าเป็นสถานที่เที่ยวที่คนไทยยังไม่ค่อยนิยมไปกันเท่าไหร่นัก แนะนำว่าถ้ามาเที่ยวโปแลนด์ แล้วมีเวลาหลายวันหน่อย ลองแบ่งเวลาไว้มาที่นี่ซักวัน จะได้ฟีลลิ่งการเที่ยวแบบลุย ๆ เจอธรรมชาติสวย ๆ ที่สำคัญคือมีเพื่อนร่วมทางเยอะมาก เวลามีคนเลื่อนหิมะ จะมีคนมาช่วยดึงช่วยลาก ทั้งที่ไม่รู้จักกันมาก่อน ซึ่งตอนไปภูกระดึงก็มีแบบนี้ ถือว่าเป็นการเที่ยวในสถานที่ต่างกัน แต่ให้ความรู้สึกประทับใจเหมือนกัน