15 นาทีในซูริค สวิสเซอร์แลนด์

ต้องเท้าความกันนิดนึง สำหรับทริปนี้เป็นการเดินทางโดยรถไฟจาก Zermatt ประเทศสวิสเซอร์แลนด์ โดยใช้ตั๋ว SWISS PASS มาต่อรถไฟที่ Zurich เพื่อจะเดินทางต่อไปที่ Salzburg ประเทศออสเตรีย ซึ่งตามตารางเวลาจะเห็นว่าอีกประมาณ 45 นาที รถไฟเที่ยวที่เราไปนั่งไปออสเตรีย ถึงจะออกจากชานชาลา ตอนนั้นเองที่หันไปขอความเห็นกับน้องสาวสุดที่รักว่า “เราวิ่งขึ้นไปดูเมืองหน่อยไหม ไหน ๆ ก็มาซูริคแล้ว” พยักหน้าพร้อมกัน แล้วตกลงกันว่ามีเวลาข้างบนนั้นแค่ 15 นาที !!! ไม่รอช้า รีบไปฝากกระเป๋า แล้วไปยังทางออกสถานีรถไฟ วิ่งขึ้นบันได อึดใจต่อมาภาพเมืองซูริคก็ปรากฏอยู่ข้างหน้าแล้ว

ซูริคในวันนั้น ท้องฟ้าใส

พอออกมาจากสถานีรถไฟ Zurich Main Station หรือ Zurich HB (ได้ยินเขาออกเสียงว่า ซูริคฮาฟบานฮูฟ) จะเห็นแม่น้ำเล็ก ๆ อยู่ด้านหน้าสถานี ข้างแม่น้ำนั้นก็เป็นถนน ซึ่งมีรถยนต์และรถรางวิ่งไปมา เราตัดสินใจวิ่งไปทางขวามือ ข้ามแม่น้ำไปอีกฝั่ง เพื่อเดินไปถ่ายรูปตรงสะพาน ซึ่งมองเห็นโบสถ์สูง ๆ และตึกสวย ๆ และคุยกันว่าให้รีบวิ่งข้ามสะพานเพื่อจะอ้อมกลับมาที่สถานีรถไฟ

วันนั้นอากาศเย็นกำลังดี ท้องฟ้าสดใส ผู้คนยิ้มแย้ม เราสองคนทั้งเดินเร็ว และวิ่งเลียบแม่น้ำ หยุดถ่ายรูปกลางสะพาน ถ่ายรูปตึกสวย ๆ ถ่ายรูปท้องฟ้าคู่กับยอดโบสถ์ที่ยังไม่รู้จักชื่อ ช่วงเวลาสั้น ๆ แต่มันมีความสุข สนุก และตื่นเต้นมากเลยนะ พอวิ่งกลับมาที่สถานีรถไฟ เราสองคนวิ่งไปล็อคเกอร์ที่ฝากกระเป๋า ช่วยกันลากกระเป๋าไปขึ้นรถไฟได้ทันเวลาแบบพอดิบพอดี

 It’s not about having time, it’s about making time

อย่างที่บอก เรามีเวลาแค่ 15 นาที แต่เราสองคนทำได้…เราได้รูปมาหลายสิบรูป และได้ความสุข สนุก และตื่นเต้น นึกในใจว่าทำไมความกระตือรือร้นที่ของการ making time มันไม่เกิดขึ้นตอนที่เราทำงานบ้างนะ ฮ่าฮ่า แต่ยังไงก็ตาม 15 นาที   ที่เกิดขึ้นวันนั้น กลับมาเตือนเราอยู่เสมอว่าไม่ว่าเราจะมีเวลามากหรือน้อยแค่ไหนก็ตาม ถ้าสิ่งนั้นเป็นเรื่องที่เราตั้งใจจะทำแล้วล่ะก็ เราย่อมทำได้ทันเวลาเสมอ…(เก็บไว้บอกตัวเองทุกครั้ง ที่หัวหน้าตามงาน)

เพราะซูริคไม่ได้อยู่ในแผนการเดินทางของเรา เป็นแค่จุดต่อรถไฟ เราเลยไม่ได้หาข้อมูลมาเลยว่าไฮไลท์ของที่นี่มีอะไรบ้าง จะว่าไปก็เสียดาย เราน่าจะแวะพักที่นี่ซักคืน เพราะหลังจากออกจากซูริค เรากูเกิลหาข้อมูลแล้วเจอที่เที่ยวน่าสนใจทั้งนั้นเลย ก่อนอื่นหาชื่อแม่น้ำหน้าสถานีรถไฟชื่อแม่น้ำลิปมัน (Limmatp) เป็นแม่น้ำที่ไหลผ่านเมืองซูริคและไหลลงสู่ทะเลสาบ Lake Zurich ที่อึ้งจนต้องร้องเห้ยคือ…ถัดจากสะพานที่เราถ่ายรูปไปอีกนิดก็คือทะเลสาบแล้ว น่าเสียดายมาก!!! นอกจากนั้นใกล้ ๆ เป็นย่านช้อปปิ้ง และมีเมืองเก่าที่น่าไปเดินเที่ยวชม โบสถ์สูงที่เราถ่ายรูปชื่อ Grossmuenster เป็นมหาวิหารหอคอยแฝดสไตล์โรมาเนสก์อันโด่งดัง มีมิวเซียม มีโรงละครโอเปร่า และอื่น ๆ เยอะมากจนคิดว่า…เก็บตังค์มาเที่ยวซูริคเถอะ..และแน่นอนว่าต้องมากกว่า 15 นาที!

24 ชั่วโมงใน Warsaw (ตอนที่ 1)

เมื่อเสียงเพลงยุค 90 ดังคลออ้อยอิ่ง และข้างนอกฝนตกปรอย ๆ คนที่นอนกลิ้งไปมาบนที่นอน ซึ่งไถ twitter มาแล้วเกือบจะสองชั่วโมง นึกครึ้มอกครึ้มใจเปิดดูราคาตั๋วเครื่องบินไปยุโรป เปิดดูทั้งเว็บไซต์เอเจนซี่และเว็บไซต์ตรงสายการบิน เหมือนสวรรค์เข้าข้าง ตั๋วเครื่องบินของสายการบินแห่งชาติของประเทศเพื่อนบ้าน มีโปรโมชั่นลดราคาอยู่พอดี ไม่ต้องคิดอะไรมาก กดจองและจ่ายเงินเลยแล้วกัน ถัดมาอีกสองเดือน ได้มายืนอยู่หน้าสถานีรถไฟในกรุงวอร์ซอว์ ประเทศโปแลนด์ ความรู้สึกเหมือนวาร์ปมาจากวันที่กดจองตัวเครื่องบิน เพราะเวลาผ่านมาเร็วมาก มาถึงโปแลนด์แบบงง ๆ โดยโจทย์สำคัญคือมีเวลาอยู่ในวอร์ซอว์แค่ 1 วัน เพราะพรุ่งนี้ดันซื้อตั๋วเครื่องบินไปปารีสไว้แล้วซะงั้น ที่ตกตบหน้าผากตัวเองแรง ๆ คือไม่ได้หาข้อมูล Warsaw ไม่รู้เรื่องอะไรเลย…นี่เราทำอะไรลงไป?! เอาล่ะ…ก่อนอื่นต้องตามหาที่พัก

ทุลักทุเล เหน็ดเหนื่อย เหน็บหนาว ชื้นแฉะ

เนื่องจากเป็นช่วงเดือนธันวาคม เป็นฤดูหนาว ซึ่งอากาศหนาวมาก หนาวไปถึงกระดูกข้อมือเลย แถมวันนี้ฝนยังตกปรอย ๆ จึงทั้งหนาวทั้งเฉอะแฉะ สังเกตเห็นว่ามีรถเมล์หลายสายวิ่งผ่านไปมาหน้าสถานีรถไฟ แต่ไม่รู้ว่าจะนั่งสายอะไร (บอกแล้วว่าไม่มีข้อมูลอะไรในหัวเลย) เลยปิดแผนที่ กูเกิลนำทางไปที่พัก เมื่อแอพพลิเคชั่นบนมือถือบอกว่าโรงแรมที่จองไว้อยู่ห่างจากพิกัดที่ยืนอยู่ประมาณ 2 กิโลเมตร ก็เลยตัดสินใจ….เดินไป

เดินลากกระเป๋าไปท่ามกลางสายฝนพรำ ผ่านตึกสูงโดดเด่น (ซึ่งไม่รู้ว่าตึกอะไร รู้แต่ว่ามันน่าจะเป็นแลนมาร์คสำคัญของวอร์ซอว์ เพราะมันดูสวยและยิ่งใหญ่มาก) ถัดจากตึงสูงใหญ่ ข้ามถนนเดินเลียบตึก ผ่านห้างสรรพสินค้า เข้าสู่ถนนเส้นเล็ก ๆ ผ่านสวนเล็ก ๆ มีร้านกาแฟ และร้านขายของที่ระลึกน่ารั…นี่ถ้าไม่หนาวเข้ากระดูก คงมีอารมณ์ชื่นชมสองข้างทางและดื่มด่ำความเป็นวอร์ซอว์ได้มากกว่านี้ !

ในที่สุดก็ถึงที่พัก

ที่พักจองเป็นแบบโฮสต์เทล ไม่มีเจ้าหน้าที่คอยให้บริการ จึงต้องบริการตัวเองตั้งแต่หาทางเข้าให้เจอ หาวิธีเปิดประตู และหาห้องพัก แต่…เฮ้ย!! ทำไมประตูเปิดไม่ได้?! เหลือบไปเห็นที่ใส่รหัส…ต้องใช้รหัสสินะ เลยนึกขึ้นได้คลับคล้ายคลับคลาว่ามีอีเมล์จากโรงแรมส่งมาเรื่องการเชคอิน พอเปิดเมล์จึงถึงบางอ้อ สรุปว่ามีเลขรหัส 3 ชุด คือรหัสเปิดประตูข้างนอก ประตูข้างในอีกชั้นนึง และรหัสเปิดประตูห้องนอน และแล้วก็ลืมว่าเพิ่งผ่านความเหน็ดเหนื่อย เหน็บหนาว ชื้นแฉะ เพราะห้องนอนน่ารักมาก (มีห้องนอนแบบห้องใครห้องมันประมาณ 5 ห้อง) ห้องน้ำรวมมี 2 ห้อง และชั้นใต้ดินมีห้องครัว ไปลองสำรวจดูมีของกินตู้เย็น กาแฟและชาผลไม้ มีชุดเครื่องครัวทำกับข้าวกินเองได้ โห…มันดีมากเลย

เมื่อเจออะไรดี ๆ กระบวนการคิดของคนเรามักจะเริ่มทำงาน สิ่งที่น่าสนใจในวอร์ซอคงหนีไม่พ้น สถาปัตยกรรม พวกตึกเก่า อนุสรณ์และประวัติศาสตร์สงคราม ความจริงมีหนังขึ้นหิ้งที่มีเรื่องราวเกี่ยวกับสงครามโลกครั้งที่ 2 ซึ่งมีฉากในประเทศโปแลนด์หลายเรื่อง เช่น The Pianist, The Boy in the Striped Pajamas, Schindler’s List ดังนั้น เพื่อให้การเดินทางข้ามน้ำข้ามทะเลครั้งนี้คุ้มค่า กับเวลาและเงินจ่ายไป คงต้องหาข้อมูลเพิ่มเติม ว่าแลนด์มาร์คและจุดไฮไลท์ของวอร์ซอคืออะไรและตั้งอยู่ตรงไหนบ้าง เอาล่ะ…มาสร้างความฟินในเวลาสั้น ๆ ด้วยการชงชาอุ่น ๆ ไปนอนดริงค์ชิลล์ ๆ ในห้องและพร้อมกับหาข้อมูลการเดินเที่ยวในวอร์ซอว์กันเถอะ